เริ่มแล้วอย่างยิ่งใหญ่ สำหรับงานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ ประเพณีที่มีเพียงเดียวในโลก ซึ่งจัดขึ้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ในวันแรมสิบห้าค่ำเดือนสิบ หรือวันสารทไทย ของทุกปี มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน มีเรื่องราวปฏิหาริย์ อัศจรรย์พันลึกเข้าไปเกี่ยวข้อง ชวนให้สนใจและน่าไปสัมผัส โดยมีองค์ปฏิมานามเรียก “พระพุทธมหาธรรมราชา” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองมะขามหวาน เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินเรื่อง และหลอมรวมจิตใจชาวเพชรบูรณ์ ให้ยึดมั่นและศรัทธาในบวรพุทธศาสนา
ความเป็นมาของงานประเพณีนี้ เล่าขานสืบมาว่า เมื่อกว่า 400 ปีก่อน มีกลุ่มคนหาปลาได้พากันออกหาปลาในลำน้ำป่าสัก แต่วันนั้นไม่มีใครได้ปลาแม้แต่ตัวเดียว กระทั่งมาถึงบริเวณวังมะขามแฟบ จู่ๆ น้ำที่ไหลเชี่ยวก็หยุดและกลายเป็นวังวน จากนั้นก็ปรากฏพระพุทธรูปลอยขึ้นมาเหนือน้ำ แสดงลักษณะดำผุดดำว่ายอย่างอัศจรรย์ กลุ่มคนหาปลาจึงได้พากันอัญเชิญองค์ปฏิมาดังกล่าวไปประดิษฐาน ณ วัดไตรภูมิ แต่พอวันแรมสิบห้าค่ำเดือนสิบ ตรงกับวันสารทไทย องค์พระได้หายไป และพบอีกครั้งยังจุดเดิมแสดงลักษณะดำผุดดำว่ายเหมือนพบครั้งแรก จึงอัญเชิญขึ้นมาและนำไปประดิษฐานที่วัดไตรภูมิ อีกครั้ง พร้อมถวายนามว่า “พระพุทธมหาธรรมราชา”
นับแต่นั้นมาในทุกวันแรมสิบห้าค่ำเดือนสิบของทุกปี เจ้าเมืองเพชรบูรณ์ พร้อมด้วยเสนาบดีทั้งสี่ คือ เวียง วัง คลัง นา จะร่วมกันอัญเชิญองค์พระไปประกอบพิธีดำน้ำ กลางแม่น้ำป่าสัก ในจุดแรกที่พบ ตามความเชื่อที่ว่า เมื่อประกอบพิธีแล้ว องค์พระจะไม่หายไปดำน้ำเอง ตลอดจนบ้านเมืองจะอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าบริบูรณ์ได้ผลดี ไม่มีโรคระบาดและภัยธรรมชาติเกิดแก่บ้านเมือง ฯลฯ จนกระทั่งกลายเป็นประเพณีสืบต่อมา
ทั้งนี้ยังมีความเชื่อด้วยว่า หากมิใช่เจ้าเมืองหรือเทียบเท่าผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ในปัจจุบัน หากแต่เป็นบุคคลอื่นที่มียศสูงกว่า หรือน้อยกว่า เป็นผู้อัญเชิญองค์พระประกอบพิธีดำน้ำแล้ว ว่ากันว่า บ้านเมืองจะต้องแรงอาถรรพณ์ ประสบเหตุเภทภัยต่างๆ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับตัวผู้อัญเชิญองค์พระกระทำการแทน ผวจ.เพชรบูรณ์ คนหนึ่ง ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตหลังประกอบพิธีไม่นาน สมัยเมื่อหลายสิบปีก่อน จนเป็นเรื่องเล่าขานของชาวเพชรบูรณ์ นอกจากยังเคยมีบุคคลที่ขอเสนอตัวร่วมเป็นเสนาบดีทั้ง 4 โดยไม่ได้รับการเสี่ยงทายตามรายชื่อ ก็กลายเป็นเหตุเหนือความคาดหมายจนถึงแก่ชีวิตและบาดเจ็บด้วยเหตุต่างๆ หลังร่วมประกอบพิธีไม่นาน จะด้วยเหตุบังเอิญหรือ “แรงอาถรรพณ์” ก็สุดจะคาดเดา เพราะเป็นเหตุที่ไม่สามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้
สำหรับพระพุทธมหาธรรมราชา เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยลพบุรี หล่อด้วยเนื้อทอง สัมฤทธิ์หน้าตักกว้าง ๑๓ นิ้วสูง ๑๘ นิ้ว ไม่มีฐาน มีพุทธลักษณะ พระพักตร์กว้าง พระโอษฐ์แบะ พระกรรณยาวย้อย จนจรดพระอังสาที่พระเศียรทรงชฎาเทริดหรือมีกระบังหน้า ทรงสร้อยพระศอพาหุรัด และประคตเป็นลวดลาย งดงามอีกทั้งแลดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามงานอุ้มพระดำน้ำ ในยุคแรกนั้นเป็นลักษณะงานวัดเล็กๆ ที่จัดเพียงวันเดียว ภาคเช้าประกอบพิธีและภาคบ่ายแข่งเรือทวนน้ำ กระทั่งถึงยุคที่ ดร.วิศัลย์ โฆษิตานนท์ เป็นนายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ ได้มีการยกระดับและพัฒนางาน จนสามารถสร้างเป็น “จุดขาย” ด้านการท่องเที่ยว มีการขยายวันจัดงานเป็น 5 วัน พร้อมสอดแทรกกิจกรรมสาระความบันเทิงในเชิงวัฒนธรรมและศาสนาเข้าไปอย่างมากมาย นอกจากนี้ยังได้นำข้อดีของงานมารณรงค์เยาวชน ประชาชนให้สนใจและใส่ใจในการดูแลแม่น้ำลำ จนทำให้งานเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในระดับประเทศ
สำหรับการจัดงานปีนี้ กำหนดขึ้นระหว่างวันที่ 22-26 ก.ย. นี้ โดยวันแรกของการจัดงานที่ผ่านมา ช่วงเช้ามีพิธีบวงสรวงพระพุทธมหาธรรมราชา ณ มณฑปวัดไตรภูมิ ส่วนช่วงเย็นเป็นขบวนแห่ทางบก โดยปีนี้ขบวนแห่นอกจากมีการแสดงตลอดเส้นทางแล้ว ยังนับมีการแสดงที่หลากหลายและตื่นเต้นประทับใจ เป็นขบวนยาวเกือบ 800 เมตร
ส่วนวันถัดมาคือวันที่ 23 ก.ย. เวลา 09.39 น. เป็นวันประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำ นายวิเชียร จันทรโณทัย ผวจ.เพชรบูรณ์ หรือในฐานะเจ้าเมืองเพชรบูรณ์ พร้อมด้วยเหล่าเสนาบดีทั้ง 4 ร่วมกันอัญเชิญองค์พระพุทธมหาธรรมราชา ประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำ ณ บริเวณท่าน้ำวัดโบสถ์ชนะมาร กลางลำน้ำป่าสัก อ.เมืองเพชรบูรณ์ ท่ามกลางนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศเดินทางมาชมพิธีกรรมดังกล่าวนับหมื่นคน โดยก่อนการประกอบพิธีคณะพราหมณ์ได้โอมอ่านโองการชุมนุมทวยเทพ จากนั้นเป็นการบรรเลงปีพาทย์ดนตรีไทย และอ่านผลเสี่ยงทายในการอุ้มพระดำน้ำ ตามพิธีกรรมโบราณที่สืบทอดมานานกว่า 400 ปี ทั้งนี้ผลเสี่ยงทายในการอุ้มพระดำน้ำ ประปี 2557 คือ ดำน้ำด้านทิศเหนือ 2 ครั้ง ทิศใต้ 1 ครั้ง และสลับกลับมาด้านทิศเหนือ 1 ครั้ง และทิศใต้ 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 6 ครั้ง
อย่างไรก็ตามหลังจากประกอบพิธีเสร็จสิ้น ได้มีการโยนขนมลูกโยน กระยาสารท กล้วยไข่ และข้าวต้มมัด ให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมงานได้รับไปรับประทานตามความเชื่อว่าเป็นอาหารทิพย์ รับประทานแล้วจะไม่มีโรคภัยเบียดเบียน เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และเป็นที่ฮือฮาแก่ผู้ชมงานเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนายวิเชียร ในชุดโบราณเจ้าเมืองเพชรบูรณ์ ได้ยืนบนเรืออัญเชิญองค์พระ นำขนมลูกโยนและอื่นๆ ขว้างขึ้นไปบนฝั่งลำน้ำ โดยผู้ชมงานต่างพากันยื้อแย่งอย่างเป็นที่สนุกสนาน นอกจากนี้หลังจากพิธีเสร็จสิ้น ได้มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งต่างพากันนำภาชนะมาตักตวงน้ำเพื่อนำไปอาบ ด้วยเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ บ่งบอกถึงความศรัทธาอย่างชัดเจน
นายเสกสรร นิยมเพ็ง นายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ กล่าวว่า ภายในงานมีกิจกรรมสำคัญหลากหลาย อาทิ กิจกรรมด้านวัฒนธรรมประเพณี กิจกรรมด้านวิชาการ กิจกรรมด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น โดยการจัดงานในปีนี้ ได้แก่ การย้ายสถานที่จัดงานการแสดง แสง เสียง การจัดงานเทศกาลอาหารอร่อย และการจำหน่ายสินค้า จากบริเวณเดิมที่คับแคบ ไปจัดที่บริเวณองค์พระใหญ่พุทธอุทยานเพชบุระ เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจร และเพื่อให้สถานที่จัดงานมีความกว้างขวาง เหมาะสมมากขึ้น ส่วนการจัดงานด้านอื่นๆ อาทิ พิธีอุ้มพระดำน้ำ, แข่งเรือทวนน้ำ ยังคงจัดเดิมเหมือนทุกปี
“การจัดแสดงแสงเสียง จะเริ่มการแสดงตั้งแต่เวลา 20.30 น. ในทุกคืนวันที่ 23-26 ก.ย. นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมฟรี โดยไม่มีการเก็บค่าชมแต่อย่างใด นอกจากนี้การจัดกิจกรรมในวันอื่นๆ ก็มีอย่างน่าสนใจ อาทิ การแข่งขันพายเรือทวนน้ำ, การแข่งขันตอบปัญหาท้องถิ่น, การประกวดคำประพันธ์, และการแข่งขันประกวดวาดภาพ เป็นต้น” นายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ กล่าว
งานประเพณีอุ้มพระดำน้ำ นอกจากเป็นประเพณีที่แปลกและไม่มีที่ใดในโลกจัดขึ้นแล้ว ยังนับได้ว่าเป็นประเพณีที่แฝงไว้ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยจะเห็นได้ว่า ก่อนประกอบพิธีทั้งภาครัฐและประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก จะช่วยกันทำความสะอาดลำคลอง และไม่กล้าที่จะทิ้งขยะหรือสิ่งปฏิกูลลงสู่แม่น้ำ ด้วยเชื่อเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนเป็นประเพณีที่หลอมรวมจิตใจชาวเพชรบูรณ์ ให้ดำรงตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม เกิดความสำนึก รัก และภูมิใจในถิ่นฐานบ้านเกิด โดยมีองค์พระพุทธมหาธรรมราชา เป็นศูนย์กลางของจิตใจ จนทำให้เพชรบูรณ์ เป็นเมืองแห่งความสุขของคนอยู่และผู้มาเยือนอย่างแท้จริง.
ที่มา http://www.banmuang.co.th
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook