หลังเกี่ยวข้าวนาปีเสร็จ พวกเราก็พากันปลูกต้นยาสูบ ดูแลเพียงแค่ 70 วัน ก็เก็บใบมาบ่มขายได้ไร่ละ 2 หมื่นกว่าบาท เป็นรายได้เสริมดีกว่าปลูกข้าว”
เฉลิม ภักดีจิตร อายุ 52 ปี เกษตรกรชาวไร่ยาสูบ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ บอกว่า การปลูกต้นยาสูบหลังนาปีมีหลายวิธี ไถกลบตอซัง หรือการไถยกร่องทำเป็นแปลงปลูก แต่ที่นิยมทำกันแบบง่ายๆในครอบครัว เพื่อประหยัดต้นทุน แค่สูบน้ำเข้านาจนเต็มปล่อยให้ฟางข้าวเปื่อย น้ำซึมลงดินจนเกือบจะแห้งสนิท จึงใช้ฟางคลุมแล้วลงมือปลูกทันที ใช้ไม้จิ้มลงดิน แล้วใส่ต้นกล้าลงไป ระยะการปลูกระหว่างแถว 90 ซม. ระยะห่างต้น 60 ซม. 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 3,000 ต้น
หลังจากปลูก รดน้ำด้วยสปริงเกอร์ให้ทั่วแปลงอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง หากอาทิตย์ไหนมีฝนตกไม่ต้องรดน้ำ แต่คอยระวังไม่ให้เกิดน้ำท่วมขัง เพราะจะทำให้ต้นยาสูบเน่าตาย และคอยตรวจดูศัตรูพืชจำพวกหนอนรังที่มากินใบ แก้ไขด้วยการฉีดพ่นยาฆ่าหนอน แต่ปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ก็คือ อากาศหนาวจะทำให้เป็นโรคใบกรูด หรือใบหงิกงอ ไม่กางเป็นรูปใบ และโรคช้างกระทืบ ที่ใบจะมีลักษณะแบนราบลงไปกับพื้นดินแล้วแห้งตายไป แต่ต้นยาสูบส่วนใหญ่จะแข็งแรงทนทานไม่ค่อยเป็นโรคไม่ต้องใช้ยาใช้ปุ๋ยเยอะเหมือนปลูกข้าว
เฉลิม บอกอีกว่า เมื่อต้นยาสูบอายุได้ราวๆ 70 วัน ก็สามารถเริ่มเก็บใบได้แล้ว เริ่มจากใบด้านล่าง 3-4 ใบ เรียกว่า ใบยาเอ็กซ์ (x) มีราคาประมาณ กก.ละ 65 บาท อีก 7 วันต่อมาก็เก็บใบกลางต้นอีก 3-4 ใบ เรียกว่าใบยาซี (C) ราคาอยู่ที่ กก.ละ 70 บาท และอีก 7 วันต่อมาจึงเก็บใบยอดทั้งหมดหรือใบยาโบ (BO) ราคา กก.ละ 67 บาท หากใบยาสูบมีคุณภาพดีอยู่ที่ 400-500 กก.ต่อไร่ ส่วนต่ำสุดอยู่ที่ 250 กก.ต่อไร่
รายได้เฉลี่ยหักค่าปุ๋ยค่ายาและค่าแรงไร่ละ 12,000 บาท จะเหลือ 13,000 บาท…แต่ถ้าไม่ใช้ยาไม่ใส่ปุ๋ยและไม่จ้างแรงงาน รับไปเต็มๆ ไร่ละ 25,000 บาท
ดีกว่าปลูกข้าว 1 ไร่ ได้ความชื้น 15% ได้เงินแค่ 4,800 บาท…รายได้ต่างกันลิบ แปลกแต่จริง รัฐไม่ยักสนับสนุน แถมยังจะออก พ.ร.บ.ใหม่มาบังคับชาวไร่ยาสูบให้อดตายอีกต่ะหาก.
ไชยรัตน์ ส้มฉุน’>
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook