เป็นเรื่องน่าเศร้าในความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนอย่างแน่นอน สำหรับกรณีที่นายอนวัช ธนเจริญรัฐ หรือคุณสมพงษ์ โตเฉย อายุ 51 ปี ชาว อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ปีนขึ้นไปบนเสาวิทยุชุมชน หลังวัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี และกระโดดลงมาสละชีวิตเพื่อประท้วงการใช้อำนาจเผด็จการตามมาตรา 44 กรณีวัดพระธรรมกาย เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ต้นเหตุการตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรมในครั้งนี้ของ “คุณลุง” จะเป็นความคับแค้นใจส่วนตัว หรือเป็นเพื่อปกป้องพุทธศาสนาหรือบุคคลใดเป็นพิเศษหรือไม่อย่าง ไรก็ตาม แต่บรรยากาศการโยนความผิด หรือเรียกร้องหาคนรับผิดชอบต่อการตายของ “คุณลุง” ก็ดูเหมือนเริ่มจะเป็นประเด็นร้อน ถึงขั้นนำไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์เมื่อครั้งกลุ่มเสื้อแดงเรียกร้องถามหาประชาธิปไตยจากเผด็จการทหาร ที่มีแท็กซี่ตัดสินใจผูกคอตายกับราวสะพานลอย บริเวณถนนวิภาวดีรังสิต ขาออก เมื่อปี 2549
ถือเป็นมุมมองที่คงจะมีการอภิปรายถกเถียงกันไป แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์นี้ มีทั้งฝ่ายสนับสนุนวัดพระธรรมกายที่ตั้งข้อกล่าวหาว่า กรมสอบ สวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอต้องรับผิดชอบ ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลให้ใช้มาตรา 44 อย่างเคร่งครัดกล่าวโทษว่า อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายที่ดื้อแพ่งไม่เคารพกฎหมาย ส่งผลให้สาวกผู้ศรัทธาหลงผิด กระทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง
แต่สำหรับพุทธศาสนิกชนที่เข้าถึงและเข้าใจในหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธแล้ว คงจะต้องเริ่มต้นพิจารณากรณี “คุณลุง” ตามหลักอริยสัจ 4 แล้วก็จะค้นพบว่าเหตุและที่มาของการตัดสินใจจบชีวิตตนเองอย่างน่าอนาถในกรณีนี้ เป็นเพราะการอวดอุตริธรรมของสำนักวัดพระธรรมกาย จนห่างไกลออกจากพุทธศาสนา กลายเป็นลัทธิที่หลงยึดติดอยู่กับวัตถุ ใช้ความเชื่อ และความศรัทธาของชาวบ้านเป็นเครื่องมือในการสะสมกิเลส และสร้างอาณาจักรที่แตะต้องไม่ได้
พุทธโอวาทคิริมานนทสูตรตอนหนึ่งระบุว่า …ฉะนั้น การบวชมิใช่ว่ามุ่งประโยชน์อย่างอื่น บวชเพื่อระงับดับกิเลสเท่านั้น ถ้าไม่หวังเพื่อความดับกิเลสแล้ว ไม่ต้องบวชดีกว่า การที่บวชโดยที่ไม่ได้มุ่ง เพื่อการดับกิเลส แม้จะมีความรู้วิเศษสักปานใด ก็ได้ชื่อว่ารู้เปล่าๆ แต่ว่าการที่เป็นผู้มีความรู้ความฉลาดนั้น เรามิได้ติว่า เป็นไม่รู้ไม่ดี ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นกุศล ก็คงเป็นอันรู้อันดี เป็นบุญเป็นกุศลอยู่นั่นเอง แต่ว่าเป็นความรู้ที่ผิดจากทางพระนิพพาน.”
ภายใต้อาณาจักรเกือบพันไร่ของวัดพระธรรมกาย ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ ในวัดแห่งนี้ทั้งที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยสารพัด และรูปแบบธุรกิจการตลาดต่างๆ นานา เป็นสิ่งสะท้อนได้อย่างชัดเจนมิใช่หรือว่า ผู้บริหารจัดการสถานที่แห่งนี้ ใช่เดินตามคำสั่งสอนในฐานะศิษย์ตถาคตหรือไม่ แล้วจะยินดีอวยชัยว่า การเสียสละชีวิตของ “คุณลุง” เป็นการกระทำเพื่อปกป้องพุทธศาสนา ก็คงจะบิดเบือนข้อเท็จจริง และน่าจะเป็นการเบี่ยงเบนจากความเป็นจริงถึงขั้นมุสา
หากศึกษาในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะประจักษ์แจ้งว่า พุทธศาสนิกชนที่ดีพึงต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันเป็นศีลข้อแรกควรปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และการทำลายชีวิตตัวเอง ก็เป็นการทำบาปอย่างแสนสาหัส ด้วยแต่ละชีวิตที่จะเกิดขึ้นมาได้นั้นยากเย็น พระพุทธเจ้าทรงเปรียบได้กับเต่าตาบอดที่ว่ายน้ำอยู่ในมหา สมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วต้องหาทางเข้าไปในบ่วงให้ได้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่การเกิดของคนนั้นยากกว่าเต่าตาบอดหาบ่วงอีกหลายล้านเท่าเลยทีเดียว
หวังเหลือเกินว่า กรณีอันน่าสลดหดหู่ใจของพุทธศาสนิกชนจะไม่เกิดขึ้นอีก ด้วยโมหะจริต และโทสะที่ปราศจากสติ และปัญญาที่จะยั้งคิดว่า การบังคับใช้มาตรา 44 ของรัฐบาลในกรณีของวัดพระธรรมกายนั้น เป็นความพยายามในการทำให้ทุกคนในสังคมเท่าเทียมกัน นั่นคือ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนๆ กัน มิใช่ใช้ผ้าเหลืองเป็นเครื่องอำพรางหรือคุ้มครองเป็นอภิสิทธิ์ชน ซึ่งยิ่งยืดเยื้อก็ยิ่งทำลายพุทธศาสนาให้เสื่อมศรัทธา.
‘>
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook