เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ความคืบหน้ากรณีนายสินสวัสดิ์ อินทร์สำราญ อายุ 36 ปี พนักงานพิทักษ์ป่าอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ขัดขืนไม่ยอมให้ชุดปฎิบัติการเข้าตรวจค้นยาเสพติด และยังใช้ปืนพกจ่อศีรษะขู่จะยิงตัวตายและต่อรองให้เจ้าหน้าที่ถอนกำลัง จนชุดปฏิบัติการภายใต้การนำของ พ.ต.อ.เผ่าพงษ์ พูราษฎร์ รอง ผบก.ภ.จ.เพชรบูรณ์ ต้องปรับเปลี่ยนไปใช้วิธีเจรจาแทน เนื่องจากเป้าหมายรายนี้นอกจากจะมีหมายจับคดีพยายามฆ่าแล้ว ยังมีอาการป่วยทางจิตเคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวช จ.ขอนแก่นอีกด้วย และล่าสุดหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจป่าไม้และเพื่อนพนักงานที่สนิทกับนายสินสวัสดิ์ ซึ่งเข้าไปช่วยปฏิบัติการจิตวิทยาได้รายงานถึงความก้าวหน้าถึงการเจรจาเกลี้ยกล่อมนายสินสวัสดิ์ โดยมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งพนักงานพิทักษ์ป่ารายนี้เริ่มมีท่าทีผ่อนคลายและเริ่มร้องขอให้ช่วยพาไปรักษาตัวหลังขาดยากินเป็นประจำ
นอกจากนี้ยังแจ้งเพิ่มว่ามารดานายสินสวัสดิ์ได้ติดต่อขอยาโรงพยาบาลจิตเวชที่ลูกชายกินเป็นประจำไปแล้วและจะได้รับในช่วงเย็นของวันนี้ โดยต่อรองว่าในเช้าวันพรุ่งนี้จะนำนายสินสวัสดิ์ไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชในจ.ขอนแก่นก่อน โดยนายสินสวัสดิ์ต่อรองจะขอไปกราบสักการะพระธาตุที่จ.นครพนมก่อน ทำให้พ.ต.อ.สรวิชญ์ นากอ้น ผกก.สภ.บ้านกลาง ประชุมทีมสืบสวนเพื่อหารือและวางแผนที่จัดทำตามข้อเรียกร้องของนายสินสวัสดิ์และมารดา ที่ร้องขอผ่านทางเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปเกลี้ยกล่อมและปฏิบัติการทางจิตวิทยา เพื่อหาวิธีปลดอาวุธปืนที่นายสินสวัสดิ์ใช้ข่มขู่จะยิงตัวตายก่อนหน้านี้ และยังเตรียมแผนสำรองป้องกันหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินหากผู้ต้องหาหรือเป้าหมายรายนี้ฉวยโอกาสหลบหนีระหว่างเดินทาง โดยเตรียมต่อรองให้มีเจ้าหน้าที่ร่วมเดินทางไปกับนายสินสวัสดิ์และมารดาด้วย นอกจากนี้ยังเตรียมแผนจัดเจ้าหน้าที่ติดตามประกบคณะนายสินสวัสดิ์อีกด้วย
ทั้งนี้ พ.ต.อ.สรวิชญ์กล่าวยอมรับว่า คดีนี้ทีมสืบสวน สภ.บ้านกลางค่อนข้างเครียดพอสมควร เนื่องจากผู้ต้องหาคดีนี้ไม่ใช่แค่เพียงอยู่ในเป้าหมายยาเสพติดเท่านั้น แต่ยังมีคดีพยายามฆ่า และที่สำคัญเป็นบุคคลที่มีประวัติการรักษาอาการป่วยทางจิตประสาทอีกด้วย จึงเพิ่มความกดดันให้กับทีมสืบสวน ขณะเดียวกันคดีนี้กลายเป็นเป้าสนใจของประชาชน เพราะเกิดสงสัยว่าทำไมจึงต้องเจรจาผ่อนปรนกับผู้ต้องหาที่กระทำผิด ส่วนผู้บังคับบัญชากำชับให้เกาะติดคดีและหาวิธีเร่งปลดอาวุธเข้าคุมตัวให้ได้โดยเร็วอย่าให้สถานการณ์ยืดเยื้อ นอกจากนี้ยังแสดงความเป็นห่วงใยและกำชับโดยให้หลีกเลี่ยงการปะทะจนเกิดสูญเสียเกิดขึ้น จึงต้องมีการวางแผนให้รัดกุม
ข่าวแจ้งว่า หลังการเปิดปฏิบัติการณ์สนธิกำลังระดมกวาดล้าง ปิดล้อมตรวจค้นตามแผนประชารัฐร่วมใจ ปลอดภัยยา เสพติด พ.ศ.2561 จำนวน 10 จุดเป้าหมาย โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 4รายซึ่ง 3รายตรวจพบสารเสพติดและอีก 1ราย ครอบครองอาวุธปืน (แก๊ป) 1 กระบอก ในส่วนของรายที่ขัดขืนไม่ยอมให้ตรวจค้นโดยใช้ปืนขู่จะฆ่าตัวตาย ปรากฏว่าไม่มีปรากฎในรายงานดังกล่าว ทำให้หลายฝ่ายประเมินว่าปฏิบัติการดังกล่าวสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายหรือไม่ เพราะยังเหลืออีกเป้าหมายที่ภารกิจยังไม่สำเร็จลุล่วง และนอกจากจะไม่สามารถเข้าตรวจค้นเป้าหมายได้แล้ว ทางชุดปฏิบัติการยังต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่และให้ทีมสืบสวน สภ.บ้านกลางรับภารกิจนี้ไปแทนอีกด้วย
ขอขอบคุณที่มาข่าวมติชนออนไลน์ อ่านข่าวต้นฉบับต่อได้ที่ https://www.matichon.co.th/news/851775
ขอขอบคุณภาพไทยรัฐออนไลน์’>
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook