LINE : ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์

ยินดีต้อนรับสู่เพจข่าวท้องถิ่นเพชรบูรณ์

วันพฤหัสที่ 19 ธันวาคม 2024
ข่าวเด่นเพชรบูรณ์

ย้อนรอยเปิดประวัติศาสตร์ รู้หรือไม่ ประเทศไทยเคยคิดที่จะย้ายเมืองหลวง แบบลับๆมาที่เพชรบูรณ์

ประวัติศาสตร์ นครบาลเพชรบูรณ์ พ.ศ. 2486-2487

1. เมื่อ พ.ศ. 2485 – 2486  ซึ่งเป็นช่วงปลายมหาสงครามโลกครั้งที่ 2  รัฐบาลไทยซึ่งมี จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้วางแผนย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่เพชรบูรณ์ เพราะในขณะนั้น ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน กรุงเทพฯถูกโจมตีจากการทิ้งระเบิดอย่างหนักจากฝ่ายสัมพันธมิตร และเห็นว่าเพชรบูรณ์มีความเหมาะสมที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ เพราะมีชัยภูมิเหมาะสม มีภูเขาล้อมรอบ มีเส้นทางคมนาคมเข้าออกเพียงทางเดียว มีภูมิประเทศสวยงาม อากาศดี อยู่ตรงกลางของประเทศ เป็นศูนย์กลางภาคเหนือกับภาคอีสาน และกรุงเทพฯ ทั้งยังต้องการสร้างเพชรบูรณ์ให้เป็นฐานทัพลับ เพื่อซ่องสุมกำลังไว้ตามแผนการเพื่อรบขับไล่ศัตรู (ฝ่ายญี่ปุ่น) ในอนาคตอีกด้วย

2. การดำเนินการสร้างเมืองหลวงใหม่แห่งนี้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้บัญชาการโดยออกเป็นคำสั่งนายกรัฐมนตรีเป็นส่วนใหญ่  โดยมีคำสั่งครั้งแรกในวันที่ 13 มีนาคม 2486 และได้มีประกาศใช้พระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ฯ พ.ศ. 2487 กำหนดให้ราชการบริหารส่วนภูมิภาคจังหวัดเพชรบูรณ์เป็นนครบาลเพชรบูรณ์ และดำเนินการอพยพราษฎรมาตั้งหลักแหล่งที่เพชรบูรณ์ พร้อมกับย้ายที่ทำการรัฐบาล ตลอดจนกระทรวง กรมและสถานที่ราชการต่าง ๆ มาตั้งที่เพชรบูรณ์  มีการทำพิธีตั้งหลักเมืองนครบาล ฯ ที่บ้านบุ่งน้ำเต้า อำเภอหล่มสัก เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2487  ส่วนที่ทำการราชการต่าง ๆ นั้นจะสร้างเป็นลักษณะชั่วคราว เรียกว่าโครงสร้าง จ.ผ.ด. (จักสาน-ไม้ไผ่-ดินเผา) ซึ่งได้เสื่อมสภาพไปหมดแล้ว ในปัจจุบันคงเหลือแต่เพียงเสาหลักเมืองนครบาลฯเท่านั้น

3. รัฐบาลในขณะนั้นได้เกณฑ์คนมาสร้างเมืองหลวงใหม่ และปรับปรุงขยายถนนสายตะพานหิน-เพชรบูรณ์ อันเป็นเส้นทางคมนาคมเพียงทางเดียวในสมัยนั้น ได้มีการเกณฑ์แรงงานราษฎรมาจาก 29 จังหวัด จำนวนนับแสนคน  จนเกิดคำเรียกคนเหล่านั้นว่า “คนเกณฑ์” ขึ้น นอกจากนั้น ยังมีการเนรเทศผู้กระทำผิดลหุโทษ เช่น การพนัน การค้ากำไรเกินควร ฯลฯ จากหลาย ๆ จังหวัดมาอยู่ที่เพชรบูรณ์ เกิดเป็นคำเรียกว่า “คนเนฯ” บรรดาคนเกณฑ์และคนเนฯ ได้ประสบความยากลำบาก เจ็บป่วย ล้มตายด้วยไข้มาลาเรียจำนวนมาก นอกจากนั้น เพื่อประโยชน์ในการยุทธ์ของชาติ รัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มพลเมืองในเพชรบูรณ์ให้มากขึ้นโดยเร็ว จึงใช้วิธีอพยพราษฎรจากจังหวัดต่าง ๆ มากมาย มาตั้งบ้านเรือน และทำมาหากินที่เพชรบูรณ์ เพื่ออาศัยให้เพาะปลูกเลี้ยงสัตว์เป็นอาหารแก่หน่วยทหารและอาศัยแรงงาน การอพยพนี้เป็นการชักชวนให้มาทำมาหากิน ทางราชการจัดการขนส่ง และจัดแบ่งที่ทำกินให้ฝั่งตะวันออกแม่น้ำป่าสักและให้ทุนเริ่มแรกตามสมควร

4. ได้มีการย้ายส่วนราชการสำคัญต่าง ๆ มาที่เพชรบูรณ์ เช่น กระทรวงการคลังที่ถ้ำฤๅษี ตำบลบุ่งน้ำเต้า อำเภอหล่มสัก ได้ขนย้ายพระคลังสมบัติ ทรัพย์สินของชาติ ทรัพย์สินในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ทองคำสำรอง และปรากฏหลักฐานว่ามีการอัญเชิญพระแก้วมรกต มาเก็บรักษาไว้ ณ ที่นี้ด้วย ได้มีการก่อสร้างตึกทำการ ป้อมยาม ป้อมปืน ตลอดจนก่อสร้างปรับปรุงถ้ำเก็บทรัพย์สมบัติให้มั่นคงปลอดภัย ปัจจุบันชาวบ้านยังคงเรียกกันว่า “ถ้ำฤๅษีสมบัติ” นอกจากนั้น ยังมีการสร้างกระทรวงยุติธรรมที่บ้านห้วยลาน ตำบลน้ำชุน อำเภอหล่มสัก กระทรวงมหาดไทยที่บ้านบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก กระทรวงอุตสาหกรรมที่บ้านติ้ว อำเภอหล่มสัก กระทรวงคมนาคมที่วัดทุ่งสะเดียง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ เป็นต้น

5. ในด้านการทหาร ได้ย้ายโรงเรียนนายร้อย จ.ป.ร. มาตั้งที่บ้านป่าแดง เรียกว่า ร.ร.นายร้อยป่าแดง ที่ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองฯ มีการตั้งค่ายทหาร “พิบูลศักดิ์” ที่ตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก ตั้งกระทรวงกลาโหมที่บ้านป่าม่วง ตำบลท่าพล อำเภอเมืองฯ ย้ายกองทัพอากาศและสร้างสนามบินไว้ที่บ้านสักหลง อำเภอหล่มสัก ซึ่งเดิมวางแผนจะย้ายมาอำเภอท่าโรง (อำเภอวิเชียรบุรี) มีการตั้งกรมยุทธโยธา คลังแสงและโรงงานช่างแสง กรมพลาธิการ กรมยุทธศึกษา กรมเสนาธิการทหารบก กรมเสนารักษ์ทหารบก กรมเชื้อเพลิง (โรงบ่มใบยาบ้านไร่) ฯลฯ ต่างก็มีการโยกย้ายมาอยู่ที่เพชรบูรณ์ และเป็นกำลังสำคัญในการสร้างเมืองหลวงใหม่ตามนโยบายของจอมพล ป.พิบูลสงคราม

6. จอมพล ป.พิบูลสงครามได้มอบหมายให้ พลตรีอุดมโยธา รัตนวดี เป็นผู้อำนวยการสร้างเมืองหลวงใหม่ มีหน้าที่สำคัญ คือ กำหนดผังเมืองและอำนวยการสร้าง มีการสร้างถนนชัยวิบูรณ์ จากอำเภอชัยบาดาล ผ่านวิเชียรบุรี มาบรรจบสายตะพานหิน-เพชรบูรณ์ที่วังชมภู  สร้างถนนชมฐีระเวช จากชนแดนถึงยอดเขารัง ถนนสามัคคีชัยจากยอดเขารังถึงหล่มสัก โดยมีถนนขนานทั้งฝั่งตะวันออกคือถนนสุวินทวงศ์ และฝั่งตะวันตกคือ ถนนประถมคชเสนีย์และถนนรัฐวัฒนา มีการตั้งกระทรวงเกษตรฯที่บ้านน้ำคำ ตำบลปากช่อง อำเภอหล่มสัก ตั้งกองชลประทาน มีหน้าที่จัดสร้างทำนบกั้นน้ำ สร้างเขื่อน เหมือง ฝายและทำการบำรุงรักษาคลองและลำห้วยให้สะอาด มีน้ำใช้ตลอดปี ให้มีการลอกห้วยป่าไม้แดง ห้วยน้ำก้อ ทำนบเหมือง ฝายห้วยท่าพล ห้วยน้ำชุน ลำห้วยนา ลำน้ำพุงที่หินฮาว อำเภอหล่มเก่า ทำการกักน้ำที่หนองนารี ตลอดจนให้รักษาความสะอาดของแม่น้ำป่าสัก



7. จอมพล ป.พิบูลสงครามได้วางผังเมืองใหญ่ 2 แห่ง คือ 1. บริเวณเพชรบูรณ์ 2. บริเวณหล่มสักและหล่มเก่า มีการกำหนดให้กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ได้กระจายตั้งกันอยู่ทั่วจังหวัด โดยมิให้กระจุกตัวกันอยู่ในเมืองเหมือนกรุงเทพฯ  มีการสร้างสำนักนายกรัฐมนตรี และศาลารัฐบาล ณ บริเวณน้ำตกห้วยใหญ่ หลังที่ตั้งกระทรวงพาณิชย์ ปลายห้วยป่าไม้แดง โดยให้ พ.ต.ล้อม บุรกรรมโกวิท เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง และได้ตั้งชื่อถนนบุรกรรมโกวิทไว้เป็นอนุสรณ์  นอกจากนั้นยังสร้างทำเนียบ “บ้านสุขใจ” ติดแม่น้ำป่าสัก เป็นที่พักอาศัยของจอมพล ป.พิบูลสงครามและครอบครัว (บริเวณที่เคยเป็นโรงน้ำแข็งเพชรเจริญ) สร้างทำเนียบ “สามัคคีชัย” ที่ยอดเขารัง และทำเนียบที่บ้านน้ำก้อใหญ่ไว้เป็นที่พักแรม มีถนนเข้าชื่อ เชิดบุญชาติ มีการวางแผนสร้างบ้านบัญชาการสำนักนายกฯ ที่บริเวณบึงสามพันด้วย

8. การก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ได้ทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น  ซึ่งในขณะนั้นได้มีการจัดงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสร้างศาลากลางเพชรบูรณ์ (บริเวณเดียวกับที่ตั้งศาลากลางจังหวัดปัจจุบัน) และได้เตรียมการณ์ย้ายรัฐบาลทั้งหมดมายังเพชรบูรณ์ จนกระทั่งมีการแต่งตั้ง พ.อ.ช่วง  เชวงศักดิ์สงคราม เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ดูแลกิจการทั้งสิ้นที่เพชรบูรณ์โดยเฉพาะแทนนายกรัฐมนตรี โดยมีอำนาจอย่างเดียวกับนายกรัฐมนตรี โดยเรียกตำแหน่งว่า รองนายกรัฐมนตรีประจำนครบาลเพชรบูรณ์ และเมื่อเดือนตุลาคม 2486 ได้มีประกาศปรับปรุงยกฐานะให้เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ เป็นเทศบาลนครเพชรบูรณ์ เพื่อรองรับการก่อสร้างและการขยายตัวของเมืองหลวงใหม่

9. ได้มีคำสั่งย้ายกรมโยธาเทศบาล (กรมโยธาธิการ) มาอยู่บ้านยาวี อำเภอเมืองฯ จัดการวางผังสร้างกรมไปรษณีย์ กรมทาง และกรมขนส่ง ที่บ้านท่าพล อำเภอเมืองฯ มีการวางแผนสร้างทางรถไฟจากอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี มาที่จังหวัดเพชรบูรณ์จนไปถึงจังหวัดเลย มีการสร้างบำรุงถนนสายหลักเพชรบูรณ์ ตั้งแต่เชิงเขาวังชมภูถึงค่ายทหารที่บ้านหินฮาว อำเภอหล่มเก่า ตั้งกระทรวงศึกษาที่บ้านหนองแส ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก แม้แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีแผนที่จะต้องอพยพมาเปิดสอนที่เพชรบูรณ์ด้วย โดยจะสร้างที่บ้านไร่ ตำบลสะเดียง แต่ขณะนั้นได้ย้ายโรงเรียนเตรียมจุฬาฯ ไปอาศัยเรียนที่โรงเรียนเมืองเพชรบูรณ์ (เดิมเป็นโรงเรียนเพชรพิทยาคม)

10. การก่อสร้างและติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกนั้น จอมพล ป.พิบูลสงครามได้สั่งการให้ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไว้หลายแห่งทั้งในเมืองและหน่วยราชการ  มีการเพิ่มโทรศัพท์ให้เพียงพอแก่ความต้องการของราชการ  ปรับปรุงการโทรเลข มีการสร้างโรงหนังไทยเพ็ชรบูล สโมสรรัตนโกสินทร์และโรงแรมขึ้นในเขตเมืองเพชรบูรณ์เพื่อให้ข้าราชการได้ใช้เวลามาตรวจราชการ  มีการสั่งการให้สร้างตลาดสดและอาคารเช่า 3 แห่ง คือ ตลาดเพชรบูรณ์ ตลาดวังชมภู และตลาดหล่มสัก ซึ่งทุกแห่งต้องมีโรงมโหรสพด้วย มีการออกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในนครบาลเพชรบูรณ์โดยใช้ชื่อว่า “เพชรบูลชัย




11. ได้มีการสั่งย้ายโรงพิมพ์ทุกประเภทมาที่เพชรบูรณ์ เพื่อเวลากรุงเทพ ฯ ถูกโจมตีทางอากาศจนไม่สามารถทำงานได้ จะได้ใช้โรงพิมพ์ตั้งใหม่ที่เพชรบูรณ์ พิมพ์หนังสือราชการ (ตั้งอยู่บ้านป่าแดง) และสร้างโรงพิมพ์ธนบัตรอยู่กรมแผนที่ทหารบริเวณหนองนายั้ง ตำบลชอนไพร อำเภอเมืองฯ จัดตั้งโรงเลื่อยที่วังชมภูโดยกรมยุทธโยธา เรียกกันว่า โรงเลื่อย ย.ย. สร้างกระทรวงสาธารณสุขที่บ้านวังซอง ตำบลท่าพล อำเภอเมืองฯ และสร้างโรงพยาบาลที่ร่องแคน้อย ตำบลสะเดียง (บริเวณสถาบันราชภัฏเพชรบูรณ์ปัจจุบัน) จัดการให้ชักชวนผู้รับเหมางานที่เพชรบูรณ์ เพราะมีการก่อสร้างทั้งส่วนราชการและเอกชนจำนวนมาก หากไม่มีใครมาก็ต้องเกณฑ์ให้มาจนพอแก่งาน

12. การก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ได้ดำเนินการโดยเร่งด่วน และถือเป็นความลับของราชการยุทธ์ของชาติตลอดมา เพื่อมิให้ข้าศึกรู้แผนการ และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไป จนกระทั้งวันที่ 20 กรกฎาคม 2487 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เสนอพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ฯ พ.ศ. 2487 ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออนุมัติเป็นพระราชบัญญัติ มีผลดำเนินการอย่างถาวรตลอดไป แต่ในที่สุดสภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่อนุมัติด้วยคะแนนเสียง 48 ต่อ 36 ด้วยเหตุผลว่า “เพชรบูรณ์เป็นแดนกันดารภูมิประเทศเป็นป่าเขาและมีไข้ชุกชุม เมื่อเริ่มสร้างเมืองนั้นผู้ที่ถูกเกณฑ์ไปทำงานล้มตายลงนับเป็นพัน ๆ คน….”

อนุสรณ์ประวัติศาสตร์นครบาลเพชรบูรณ์นี้ จึงจัดทำขึ้นเพื่อรำลึกถึงคุณูปการและอัจฉริยภาพของจอมพล ป.พิบูลสงคราม และเพื่อคนเพชรบูรณ์จะได้ภูมิใจในประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งและความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองตน

 

ดวงตะวันลับเหลี่ยม ภูผานี้     ล่วงราตรีก็แจ้ง เปล่งแสงใส
ดุจดังเพชรบูรณ์ นครไกล    จะสดใสคงอยู่ คู่ฟ้าดิน
(บทเพลงที่ใช้รำในพิธียกเสาหลักเมืองนครบาลเพชรบูรณ์ เมื่อ 23 เม.ย. 2487 ที่ ต.บุ่งน้ำเต้า)
ขอขอบคุณ ดร. วิศัลย์ โฆษิตานนท์   wison_k@hotmail.com

[ae-fb-embed url=’https://www.facebook.com/phetvariety/videos/1445019992237081/’ width=’500′]





‘>

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook

ข่าวเด่นเพชรบูรณ์ ล่าสุด

อัพเดทล่าสุด