ชุดปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าบุกจับนายทุนชาวกรุงรุกป่าโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เสี่ยงภัย น้ำก้อ-น้ำชุน จ.เพชรบูรณ์ กว่า 2 ไร่ ตรวจยึดสิ่งปลูกสร้างผิดกฎหมายนับสิบหลัง เผยเป็นนายทุนหน้าเก่า กระทำผิดซ้ำซากเพราะเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษข้อหารุกป่ามาแล้วแต่ไม่เข็ดหลาบ คาดมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ช่วยเหลือ สั่งแจ้งข้อหาหนัก 3 กระทง โทษหนักทั้งจำทั้งปรับ พร้อมเตรียมยื่นขอศาลบังคับคดีให้รื้อถอนทุกอย่างให้พ้นสิ้นไปจากผืนป่า
จับนายทุนชาวกรุงบุกรุกป่าเพชรบูรณ์ ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ (คปป.) โดยนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ ผอ.ศปก.พป. และ พล.ท.เรืองสิทธิ์ มิตรภานนท์ ผอ.ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ราชอาณาจักร (ศปป.4 กอ.รมน.) ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ ศปป.4 กอ.รมน. นำโดย พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หน.ชุดปฏิบัติการทวงคืนผืนป่าจากกลุ่มนายทุนที่บุกรุกป่าในพื้นที่ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ โดยเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปยังพื้นที่ป่าที่มีการบุกรุก ในโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำก้อ-น้ำชุน จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2546 เพื่อป้องกันและบรรเทาการเสียหายจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ จำนวนเนื้อที่ 132,626 ไร่
จากการตรวจสอบบริเวณป่าริมถนนหมายเลข 12 ซึ่งเป็นถนนสายหลักตรงหลักกิโลเมตรที่ 338 บ้านทางแดง หมู่ 7 ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พบอาคารสิ่งปลูกสร้างถาวร 8 หลัง ซึ่งเป็นการบุกรุกใหม่ จึงได้ตรวจยึดพื้นที่บุกรุก จำนวน 2- 3- 96 ไร่ คิดเป็นค่าความเสียหายของรัฐเป็นเงิน 204,050.22 บาท พร้อมตรวจยึดอาคารสิ่งปลูกสร้างถาวร จำนวน 8 หลัง รวมทั้งอาคารก่อสร้างเพิ่มจากพื้นที่เดิมที่เคยถูกตรวจยึดเมื่อวันที่ 13 ม.ค.2553 พื้นที่จำนวน 1-2-80 ไร่ และอาคารปลูกสร้างจำนวน 6 หลังพร้อมจัดทำบันทึกตรวจยึด นำส่ง พงส.สภ.เขาค้อ เพื่อติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี 3 ข้อหา ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ คือ 1. ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับใบอนุญาต 2.ครอบครองป่าที่ได้ถูกแผ้วถางโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งมาตราก่อน และ 3.ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ตาม ม.54 พ.ร.บ.ป่าไม้ ซึ่งมีโทษหนักทั้งจำทั้งปรับ
พ.อ.พงษ์เพชรกล่าวว่า ผู้บุกรุกรายนี้ คือนายวรวิทย์ สินส่งสุข เป็นนายทุนจากกรุงเทพฯที่มีพฤติกรรม เจตนาบุกรุกยึดถือครอบครองพื้นที่ป่า เกี่ยวเนื่องเป็นรายเดียวกันกับร้านกาแฟโมอายที่เคยถูกจับกุมดำเนินคดี เมื่อวันที่ 2 เม.ย.57 และคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 11 เม.ย.59 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาลงโทษปรับ 5,000 บาท จำคุก 3 เดือน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ควบคุมประพฤติ 1 ปี และให้จำเลยและบริวารออกจากพื้นที่ แต่ปัจจุบันนายทุนรายนี้ยังคงประกอบกิจการเปิดร้านกาแฟโมอายอยู่ และมาบุกรุกพื้นที่ใหม่ในพื้นที่แปลงนี้เพิ่มเติมจากเดิม โดยมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมาย เชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่ป่าไม้บางคนในพื้นที่คอยให้ความช่วยเหลือ เอื้อประโยชน์ให้นายทุน และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาล ตนจึงจะใช้วิธีการปกครองเพื่อบังคับคดีให้มีการรื้อถอน โดยจะเสนอเรื่องต่อศาล และจะกำชับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ ได้แก่ กรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายให้ถึงที่สุดจนถึงขั้นบังคับคดีโดยเคร่งครัดทุกคดีต่อไป
ข่าวที่มาไทยรัฐ https://www.thairath.co.th/content/1524805‘>
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook