ผู้เขียนพลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก
ข่าวของเพื่อนบ้านเมืองอิเหนา จะย้ายเมืองหลวงจากจาการ์ตาไปอยู่ที่บอร์เนียว น่าสนใจครับ… เพราะแผ่นดินจาการ์ตากำลังจะจมน้ำ ประชากรแออัดยัดเยียด การจราจรเลวร้าย สาธารณูปโภค ถนนหนทาง ขยับขยายไม่ออก เป็นสาเหตุหลักที่รัฐบาลอินโดนีเซียวางแผนจะย้ายเมืองหลวงไปตั้งใหม่ที่บอร์เนียว
ผู้เขียนเคยไปปฏิบัติหน้าที่ “รักษาสันติภาพ” ในจังหวัดอาเจะห์ของอินโดนีเซียในปี พ.ศ.2547-2548 ต้องบิน 3 ชั่วโมง เข้ามารายงานสถานการณ์ “การหยุดยิง” ของจังหวัดอาเจะห์ ในนครจาการ์ตา เดินทางเข้า-ออกจาการ์ตานับครั้งไม่ถ้วน…
ต้องขอยืนยันว่า สภาพของสิ่งแวดล้อมย่ำแย่จริงๆ กรุงจาการ์ตามีประชากรอาศัยถึง 10 ล้านคน ในทางกายภาพ.. เมืองนี้เป็นเมืองที่กำลังทรุดตัวเร็วที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง วิศวกร สถาปนิก ฟันธงว่า บางส่วนของเมืองอาจจมอยู่ใต้น้ำได้ภายในปี 2050
จาการ์ตาเป็นเมืองติดฝั่งทะเลชวา และมีแม่น้ำถึง 13 สายไหลผ่านเมือง เมืองนี้กำลังทรุดตัวหมดทางเยียวยาแก้ไข 95 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ตอนเหนือของกรุงจาการ์ตา ซึ่งอยู่ติดกับทะเลชวา น่าจะจมน้ำภายในปี 2050
สยามของเรา ก็เคยขยับตัวแรงๆ คิดจะย้ายเมืองหลวงมาก่อน..
ภาพเก่า..เล่าตำนาน ขอชวนคุย ประวัติศาสตร์ชนชาติไทย ที่ครั้งหนึ่ง นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม สั่งการให้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์….
8 ธันวาคม 2484 กองทัพญี่ปุ่นบุกขึ้นทางฝั่งทะเลอ่าวไทย ยื่นคำขาดให้สยามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ในที่สุด จอมพล ป. ตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น..ประกาศสงครามกับ อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา
มันคือ ภาวะจำยอม และไม่มีทางเลือก ที่ต้องร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้ให้ได้ เพราะในเวลานั้นกองทัพญี่ปุ่นอาจหาญ เกรียงไกร ยิ่งใหญ่เกินใครจะต้านทาน… และหลังจากลงนามความร่วมมือ กองทัพญี่ปุ่นก็ลดท่าทีแข็งกร้าวลง
กองทัพลูกซามูไรเข้ามาตั้งฐานทัพหลายแห่ง สร้างทางรถไฟในสยามข้ามพรมแดนไปรบกับอังกฤษในพม่า …สัมพันธมิตรถือว่า สยามเป็นคู่สงคราม
ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตร บินมาทิ้งระเบิดใส่กรุงเทพฯ นนทบุรี ชุมพร และเมืองต่างๆ ด้วยเหตุผล ต้องการโจมตีกองกำลังทหารญี่ปุ่นในสยาม
เครื่องบินทิ้งระเบิดตัวพ่อ คือ B-24 บินมาทิ้งระเบิดระหว่างปี พ.ศ.2485 ถึง 2488 รวม 34 ครั้ง
14 ธันวาคม 2487 ทิ้งใส่สะพานพระราม 6 พังพินาศ
เป้าหมาย ถูกโจมตี ได้แก่ สถานีรถไฟหัวลำโพง สถานีรถไฟบางกอกน้อย สถานีรถไฟช่องนนทรี โรงงานซ่อมสร้างหัวรถจักรมักกะสัน โรงไฟฟ้าวัดเลียบ ท่าเรือคลองเตย สนามบินดอนเมือง สถานีรถไฟบางซื่อ ย่านโรงพยาบาลศิริราช ย่านสะพานพุทธ
สะพานจุฬาลงกรณ์ ข้ามแม่น้ำแม่กลองกลางเมืองราชบุรี โดนทิ้งบอมบ์อ่วม และยังมีระเบิดขนาดมหึมา จม แช่อยู่ในแม่น้ำให้ไว้ดูต่างหน้ายามคิดถึงอีก 7 ลูก…
ต่างจังหวัด เช่น สะพานปรมินทร์ข้ามแม่น้ำน่าน ชุมทางบ้านดารา จังหวัดอุตรดิตถ์ ถูกทิ้งระเบิดทำลายพังพินาศ
เมื่อ พ.ศ.2485-2486 รัฐบาลไทยซึ่งมี จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ประชุมวางแผนการ เพื่อจะย้ายเมืองหลวง
2 กรกฎาคม 2485 นายกรัฐมนตรี จอมพล ป. นำพระราชกำหนดจัดสร้างนครหลวง เสนอต่อสภา…เมืองที่ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาในขณะนั้นคือ อยุธยาและสระบุรี…สภาเห็นชอบ-อนุมัติ
6 กรกฎาคม 2485 จอมพล ป. นั่งหัวโต๊ะ เชิญทุกกระทรวงมาหารือ แล้วออกสำรวจพื้นที่ ศึกษา “ความเป็นไปได้”
จุดเปลี่ยนที่สำคัญในช่วงเวลานั้น คือ เฮ้ย.. ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงคราม สยามจะเดินหน้าต่ออย่างไร… หากสัมพันธมิตรเข้ามากวาดล้าง สู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นในแผ่นดินสยาม
16 มิถุนายน 2486 จอมพล ป. ตัดสินเด็ดขาด เปลี่ยนแผนย้ายเมืองหลวงไป “เพชรบูรณ์” เพื่อเป็นเมืองที่มั่น ที่จะตีตลบหลังกองทัพญี่ปุ่น…
“ความลับในใจ” ของจอมพล ป. และทุกฟากฝ่ายในประเทศสยาม คิดเหมือนกัน คือ คิดต่อต้านญี่ปุ่นในใจเสมอมา ยังไงญี่ปุ่นก็ไม่มีทางชนะสงครามที่รบกับอเมริกา หากแต่ในเวลานั้น ผู้นำต้องนำพา “ชาติ” ให้รอดปลอดภัย ไม่ต้องการให้สยามล่มสลาย….
จอมพล ป. คิดลึกซึ้ง..ยากที่จะอธิบายต่อสาธารณชน
เมืองเพชรบูรณ์ มีความเหมาะสมที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ เหมาะกว่าอยุธยา และ สระบุรี ภูเขาล้อมรอบ ภูมิประเทศสวยงาม อากาศดี ประการสำคัญ คือ อยู่ตรงกลางของประเทศ
ที่ตั้งของเพชรบูรณ์ เป็นศูนย์กลางภาคเหนือกับภาคอีสาน และกรุงเทพฯ
แนวคิดการย้ายเมืองหลวง จอมพล ป. ใช้การออกเป็นคำสั่งนายกรัฐมนตรีเป็นส่วนใหญ่ โดยมีคำสั่งครั้งแรกในวันที่ 13 มีนาคม 2486
ประกาศใช้พระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ฯ พ.ศ.2487 กำหนดให้ราชการบริหารส่วนภูมิภาคจังหวัดเพชรบูรณ์เป็นนครบาลเพชรบูรณ์
จอมพล ป. เอาจริง ไม่ได้ล้อเล่น…
ทางราชการเริ่มดำเนินการอพยพราษฎร หอบลูกจูงหลาน มาตั้งหลักแหล่งที่เพชรบูรณ์ พร้อมกับย้ายที่ทำการรัฐบาลหลายหน่วย
จอมพลกระดูกเหล็ก ไปทำพิธีตั้งหลักเมืองนครบาลฯ ที่บ้านบุ่งน้ำเต้า อำเภอหล่มสัก เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2487 (ตามภาพ) ส่วนที่ทำการราชการต่างๆ นั้นจะสร้างเป็นลักษณะชั่วคราว เรียกว่าโครงสร้าง จ.ผ.ด. (จักสาน-ไม้ไผ่-ดินเผา)
ชาวสยามพูดจากันอื้ออึง นี่มันอะไรกันอีกวะ เกิดความวิตกหวั่นไหวของชาวกรุงเทพฯ ที่เป็นชนชั้นนำของประเทศ พ่อค้า แม่ขาย สถานศึกษา ทุกอย่างที่สำคัญ มีคุณค่าอยู่ตรงนี้ .กรุงเทพฯ คือ หัวใจของประเทศ…
มีการเกณฑ์ราษฎรมาจาก 29 จังหวัด จำนวนนับแสนคน จนเกิดคำเรียกคนเหล่านั้นว่า “คนเกณฑ์”
เพชรบูรณ์ เป็นป่าเขาที่ยังเขียวชอุ่ม ธรรมชาติยังบริสุทธิ์ บรรดาคนเกณฑ์ ลูกเด็ก เล็กแดง ประสบความยากลำบาก เจ็บป่วย ล้มตายด้วยไข้มาลาเรียจำนวนมาก เรียกกันว่า “ไข้ป่า”
การอพยพราษฎรจากจังหวัดต่างๆ มาตั้งบ้านเรือน และทำมาหากินที่เพชรบูรณ์ เพื่อทำหน้าที่เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ เป็นอาหารแก่หน่วยทหารและใช้แรงงาน ทางราชการจัดการขนส่ง และจัดแบ่งที่ทำกินให้ฝั่งตะวันออกแม่น้ำป่าสักและให้ทุนเริ่มแรกตามสมควร
หน่วยงานที่สั่งปุ๊บ ย้ายปั๊บ ง่ายที่สุด คือ หน่วยทหาร
กองทัพบกสั่งย้ายโรงเรียนนายร้อย จปร.ไปตั้งที่โนนผักชี บ้านป่าแดงที่ ต.ป่าเลา อ.เมืองเพชรบูรณ์
นักเรียนนายร้อยเตรียม ทบ.รุ่น 6 ที่เข้าศึกษาในพฤษภาคม พ.ศ.2486 เรียกกันเองว่า รุ่นป่าแดง นายทหารรุ่นปู่ รุ่นทวด เล่าให้ฟังว่า แทบไม่ได้เรียนหนังสือหนังหา เพราะอาจารย์ให้นักเรียนนายร้อยไปตัดไม้ไผ่ ทำโรงเรือนที่พักทั้งวัน ยุงกัดเจียนตาย
รุ่นป่าแดง ออกจากโรงเรียนนายร้อยเมื่อ 10 มกราคม 2487 ขึ้นรถไฟที่สถานีสามเสนช่วงค่ำ ใช้เวลา 15 ชั่วโมงไปลงสถานีตะพานหิน แล้วเดินต่อ ไปกางเต็นท์นอนในทุ่งนา จากนั้นเดินด้วยเท้าอีก 5 วัน ระยะทางประมาณกว่า 100 กม.
นักเรียนนายร้อยคนหนึ่งบันทึกไว้ว่า… มาตอนแรก ส้มโอเพชรบูรณ์ ใบละ 2 สตางค์ ขณะที่กรุงเทพฯใบละ 1 บาท ถั่วฝักยาวก็กำละ 2 สตางค์ แต่พอ 2 อาทิตย์ ส้มโอก็ขึ้นเป็นใบละ 5 สตางค์ อะไรๆ ก็ขึ้นราคา กู่ไม่กลับ แกงจืดชามละ 10 สตางค์ แกงเผ็ด ชามละ 15 สตางค์ ขนมถ้วยละ 5 สตางค์….
จอมพลคนนนทบุรีตั้งค่ายทหาร “พิบูลศักดิ์” ที่ ต.หนองไขว่ อ.หล่มสัก ตั้งกระทรวงกลาโหม ที่บ้านป่าม่วง ต.ท่าพล อ.เมืองเพชรบูรณ์
สร้างสนามบินไว้ที่บ้านสักหลง อ.หล่มสัก ซึ่งเดิมวางแผนจะย้ายมาอำเภอท่าโรง (อำเภอวิเชียรบุรี)
ตั้งกรมยุทธโยธา คลังแสงและโรงงานช่างแสง กรมพลาธิการ กรมยุทธศึกษา กรมเสนาธิการทหารบก กรมเสนารักษ์ทหารบก กรมเชื้อเพลิง (โรงบ่มใบยาบ้านไร่)
จอมพล ป.พิบูลสงคราม มอบหมายให้ พลตรี อุดมโยธา รัตนาวดี เป็นผู้อำนวยการสร้างเมืองหลวงใหม่ มีหน้าที่สำคัญ คือ กำหนดผังเมืองและอำนวยการสร้าง มีการสร้างถนนเชื่อมต่อ สร้างเส้นทาง
ตั้งกระทรวงเกษตรฯ ที่บ้านน้ำดุก ต.ปากช่อง อ.หล่มสัก ตั้งกองชลประทาน ทำนบกั้นน้ำ สร้างเขื่อน เหมือง ให้มีน้ำใช้ตลอดปี ให้มีการลอกห้วยหนอง คลอง บึง ทั้งหมด ต้องสะอาด..
กระทรวงคลัง ที่กุมชะตากรรมเงิน ทอง ของสยาม ให้ย้ายไปอยู่ถ้ำฤาษี อ.หล่มสัก ปรับปรุงถ้ำให้มั่นคง แล้วขนทองคำ ทุนสำรองและของมีค่าในพิพิธภัณฑแห่งชาติ ไปเก็บไว้ ถ้ำนี้วันนี้ยังเรียกกันว่าถ้ำฤาษีสมบัติ
ผังเมือง กระจายที่ตั้งกระทรวง ทบวง กรมอยู่ทั่วทั้งจังหวัด โดยมิให้กระจุกตัวกันอยู่ในเมืองเหมือนกรุงเทพฯ
เมืองหลวงใหม่ต้องเลิศหรู อลังการแบบยุโรป อเมริกา
แต่งตั้ง พ.อ.ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม เป็นรอง นรม. มีหน้าที่ดูแลกิจการทั้งสิ้นที่เพชรบูรณ์โดยเฉพาะ มีอำนาจเทียบเท่า นรม. โดยเรียกตำแหน่งว่ารองนายกรัฐมนตรีประจำนครบาลเพชรบูรณ์
แม่ทัพญี่ปุ่นที่มาบัญชาการรบในสยาม ชื่อนายพลนากามูระ เฝ้ามอง สืบสภาพ หาข่าวตลอดเวลาว่า จอมพล ป. แกกำลังทำอะไร ที่ดูแสนจะลึกลับ ซับซ้อน…
คนงาน ชาวบ้านที่ถูกกวาดต้อนมาเจ็บป่วย ล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง เมืองเพชรบูรณ์ก็กลายเป็นมหานครมฤตยู
เพชรบูรณ์ ไม่มีไฟฟ้าใช้ จอมพล ป. “จัดให้” ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไว้หลายแห่ง เพิ่มโทรศัพท์ ปรับปรุงการโทรเลข มีการสร้างโรงหนังไทยเพชรบูล สโมสรรัตนโกสินทร์และโรงแรมขึ้นในเขตเมืองเพชรบูรณ์ เพื่อให้ข้าราชการได้ใช้เวลามาตรวจราชการ
สร้างตลาดสดและอาคารเช่า 3 แห่ง คือ ตลาดเพชรบูรณ์ ตลาดวังชมภู และตลาดหล่มสัก ซึ่งทุกแห่งต้องมีโรงภาพยนตร์ด้วย มีการออกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในนครบาลเพชรบูรณ์ชื่อ เพชรบูลชัย หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ มีคำขวัญว่า “เชื่อพิบูล ชาติไม่แตกสลาย”
การก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ เป็นงานระดับยุทธศาสตร์ชาติ
สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ ญึ่ปุ่นแพ้สงคราม ..ต่อมาเมื่อ 20 กรกฎาคม 2487 รัฐบาลจอมพล ป. ได้เสนอพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ฯ พ.ศ.2487 ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่ออนุมัติเป็นพระราชบัญญัติ จะมีผลดำเนินการอย่างถาวรตลอดไป
ฝ่ายเสรีไทยในสภา เกรงว่าหากปล่อยให้จอมพล ป. เป็นนายกฯต่อไปจนสงครามจบ ไทยก็ต้องกลายเป็นประเทศแพ้สงคราม เพราะจอมพล ป. ไปลงนามร่วมมือกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามกับสหรัฐ
สภาจึงพร้อมใจคว่ำพระราชกำหนด ฉบับนี้…
.. สภาผู้แทนราษฎรลงมติ “ไม่อนุมัติ” ด้วยคะแนนเสียง 48 ต่อ 36 ด้วยเหตุผลว่า “เพชรบูรณ์เป็นแดนกันดารภูมิประเทศเป็นป่าเขาและมีไข้ชุกชุม เมื่อเริ่มสร้างเมืองนั้นผู้ที่ถูกเกณฑ์ไปทำงานล้มตายลงนับเป็นพันๆ คน….”
ฝ่ายรัฐบาลที่นำพระราชกำหนดเข้าสภา จะชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจนเป็นจริงในสภา ก็ไม่ได้ เพราะญี่ปุ่นจ้องดูตาไม่กะพริบ
24 ก.ค. จอมพล ป. ชายชาติทหาร ตรงไป-ตรงมา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์ชาติ สร้างเพชรบูรณ์เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่จึงเอวังด้วยประการฉะนี้…
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง จอมพล ป. ต้องติดคุกในฐานะอาชญากรสงคราม โดนขัง แต่สยามประเทศ ประชาชนทั้งประเทศ รอดปลอดภัยจากความเสียหาย
ผู้เขียน…ขอให้ชาวเพชรบูรณ์ ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งของดินแดนเพชรบูรณ์
คำว่า “นครบาลเพชรบูรณ์” เป็นประวัติศาสตร์ ที่ควรบอกเล่าให้ลูกหลานได้รับทราบ…หวุดหวิดจะได้เป็นเมืองหลวงแล้ว
ขอขอบคุณที่มา https://www.matichon.co.th/article/news_1659852
นครบาลเพชรบูรณ์ ในระหว่าง สงคราม โลกครั้งที่ 2 และสงครามมหาเอเชีย บูรพา กรุงเทพฯถูกโจมตี จนประชาชนต้อง อพยพออกต่างจังหวัด จอมพล ป.พิบูล สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเห็นสมควรให้ย้าย เมือง หลวงไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพราะมีชัยภูมิเหมาะสม มีภูเขาล้อมรอบมีทางออกทางเดียว ศัตรูรุกรานได้ยาก คณะรัฐมนตรีซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายก รัฐมนตรี จึงได้ยกร่าง พระราชกำหนดสร้างนครบาล ขึ้นชื่อว่า ” พระราชกำหนดระเบียบการบริหารนครบาล เมืองเพชรบูรณ ์และสร้างพุทธบุรี พ.ศ. 2487″ ซึ่งมีขั้นตอนดำเนินงานดังนี้
1. ช่วงปี พ.ศ. 2485 และ พ.ศ. 2486 ปลายมหาสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลซึ่งมี จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีได้วางแผน จะย้ายเมืองหลวง มาตั้งที่เพชรบูรณ์ เพราะประเทศไทยกำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน กรุงเทพฯถูกโจมตี จากการทิ้งระเบิดอย่างหนักเพชรบูรณ ์มีชัยภูมิความเหมาะสมที่จะเป็นเมืองหลวง แห่งแห่งใหม่ เพราะมีชัยภูมิเหมาะสม มีภูเขาล้อมรอบ มีเส้นทางคมนาคมเข้าออกเพียงทางเดียว มีภูมิประเทศสวยงาม อากาศดี อยู่ตรงกลางของประเทศ เป็นศูนย ์กลางภาคเหนือ กับภาคอีสานและกรุงเทพฯ ทั้งยังต้องการสร้าง เพชรบูรณ์ให้เป็นฐานทัพลับไว้เพื่อรบขับไล่ศัตรูอีกด้วย
2. การดำเนินการก่อสร้างนครบาลเพชรบูรณ์ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ออก คำสั่งเป็นคำสั่งนายกรัฐมนตรี เป็นส่วนใหญ่โดยคำสั่ง ครั้งแรกในวันที่ 13 มีนาคม 2486 และดำเนินการร่างพระราชกำหนด จัดระเบียบราชการ บริหารนครบาลเพชรบูรณ์ฯ กำหนดให้ราชการ บริหารส่วนภูมิภาค จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นนครบาลเพชรบูรณ์ และดำเนินการ อพยพราษฎรมาตั้งหลักแหล่งที่เพชรบูรณ์ พร้อมกับย้ายที่ทำการรัฐบาล ตลอดจนสถานที่ ราชการมาตั้งที่เพชรบูรณ์ มีการทำพิธีสร้างหลักเมือง นครบาลฯ ที่บ้านบุ่งน้ำเต้า อำเภอหล่มสัก ส่วนที่ทำการราชการต่าง ๆ จะสร้างเป็นลักษณะชั่วคราว จ.ผ.ด. (จักสาน-ไม้ไผ่-ดินเผา) ซึ่งได้เสื่อมสภาพไปหมดแล้ว ในปัจจุบันคงเหลือแต่เพียงเสาหลักเมือง นครบาลฯ เท่านั้น จึงจำลองมา สร้างเป็นอนุสรณ์นครบาลเพชรบูรณ์ ไว้กลางเมืองเพชรบูรณ์
3. รัฐบาลในขณะนั้นได้เกณฑ์คนมา สร้างเมืองหลวงใหม่ และสร้างถนน สายตะพานหิน เพชรบูรณ์ อันเป็นเส้นทางคมนาคม เพียงทางเดียว ในสมัยนั้น ได้มีการเกณฑ์แรงงานราษฎร มาจาก 29 จังหวัด จำนวนนับแสนคน (เกิดคำว่า “คนเกณฑ์” ขึ้น) ได้ประสบความยากลำบาก เจ็บป่วยล้มตายด้วย ไข้มาลาเรียจำนวนมาก และเพื่อประโยชน์ ในการ ยุทธจำเป็นต้องเพิ่ม พลเมืองในเพชรบูรณ ์ให้มากขึ้นโดยเร็ว จึงใช้วิธี อพยพราษฎรจากจังหวัดต่าง ๆ เข้ามาจำนวนมาก มาตั้งบ้านเรือน และทำมาหากินที่เพชรบูรณ์เพื่ออาศัยให้ เพาะปลูกเลี้ยงสัตว์เป็นอาหาร แก่หน่วยทหาร และอาศัยแรงงานการอพยพนี้เป็นการ ชักชวนให้มาทำมา หากิน ทางราชการจัดการ ขนส่งและจัดแบ่งที่ทำกินให้ฝั่ง ตะวันออกแม่น้ำ ป่าสักและให้ทุนเริ่มแรกตามสมควร.
4. ได้มีการย้ายส่วนราชการสำคัญต่างๆ มาที่เพชรบูรณ์ เช่น กระทรวงการ คลัง ตั้งที่ถ้ำฤาษีตำบลบุ่งน้ำเต้า อำเภอหล่มสักได้ขนย้าย พระคลังสมบัติ ทรัพย์สินของชาติ ทรัพย์ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติมาเก็บไว้ ณ ที่นี้ด้วย มีการก่อสร้างตึกทำการตลอดจน ก่อสร้างปรับปรุงถ้ำเก็บ ทรัพย์สมบัติ ให้มั่นคงปลอดภัย ปัจจุบันชาวบ้าน ยังคงเรียกกันว่า “ถ้ำฤาษีสมบัติ” นอกจากนั้นยังมีการสร้างกระทรวงยุติธรรมที่บ้าน ห้วยลาน ตำบลน้ำชุน อำเภอหล่มสักกระทรวงมหาดไทย ที่บ้านบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก กระทรวงอุตสาหกรรม ที่บ้านติ้ว อำเภอหล่มสัก เป็นต้น
5. ในด้านการทหารได้ย้ายโรงเรียนนายร้อย จ.ป.ร. มาตั้งที่บ้านป่าแดง (ร.ร.นายร้อยป่าแดง) ตำบลป่าเลา อำเภอเมืองฯ มีการตั้งค่ายทหาร “พิบูลศักดิ์” ที่ตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก ตั้งกระทรวงกลาโหม ที่บ้านป่าม่วง ตำบลท่าพล อำเภอเมืองฯ ย้ายกองทัพอากาศมาที่บ้านสักหลง อำเภอหล่มสัก ซึ่งเดิมวางแผนจะย้ายมาอำเภอท่าโรง (อำเภอวิเชียรบุรี) กรมยุทธโยธา คลังแสงและโรงงานช่างแสง กรมพลาธิการ กรมยุทธศึกษา กรมเสนา ธิการทหารบก กรมเสนารักษ์ทหารบก กรมเชื้อเพลิง ฯลฯ ต่างก็มีการโยกย้ายมาอยู่ที่เพชรบูรณ์ และเป็นกำลังสำคัญ ในการสร้างเมืองหลวงใหม่ตามนโยบาย ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
6. จอมพล ป.พิบูลสงครามได้มอบหมายให้ พลตรีอุดมโยธา รัตนวดี เป็นผู้อำนวยการสร้าง เมืองหลวงใหม่ มีหน้าที่สำคัญ คือ กำหนดผังเมือง และอำนวยการสร้าง มีการสร้างถนนชัยวิบูรณ์ จากอำเภอชัยบาดาลผ่าน วิเชียรบุรี มาบรรจบ สายตะพานหิน-เพชรบูรณ์ที่วังชมภู มีการตั้งกระทรวง เกษตรฯที่บ้านน้ำคำ ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก ตั้งกองชลประทานมีหน้าที่ จัดสร้างทำนบกั้นน้ำ สร้างเขื่อนเหมือง ฝายบำรุงรักษาคลอง และลำห้วย ให้สะอาดมีน้ำใช้ตลอดปี ให้มีการลอกห้วยป่าไม้แดง ห้วยน้ำก้อ ทำนบเหมือง ฝายห้วยท่าพล ห้วยน้ำชุน ลำห้วยนา ลำน้ำพุงที่หินอาว อำเภอหล่มเก่า ทำการกักน้ำที่หนองนารีตลอดจนให้รักษาความสะอาด ของแม่น้ำป่าสัก
7. จอมพล ป. พิบูลสงครามได้วาดผังเมืองใหญ่ 2 แห่ง คือ 1. บริเวณ เพชรบูรณ์ 2. บริเวณหล่มสักและหล่มเก่า มีการกำหนดให้กระทรวงทบวง กรมต่าง ๆ ได้กระจายตั้งกันอยู่ทั่วจังหวัดโดยมิให้กระจุกตัวกันอยู่ในเมือง เหมือนกรุงเทพฯ มีการสร้าง สำนักนายกรัฐมนตรีและศาลารัฐบาล ณ บริเวณ น้ำตกห้วยใหญ่ หลังที่ตั้งกระทรวงพาณิชย์ ปลายห้วยป่าไม้แดง โดยให้ พ.ต.ล้อม บูรกรรมโกวิทเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง นอกจากนั้น ยังสร้างทำเนียบ “บ้านสุขใจ ” ติดแม่น้ำป่าสัก เป็นที่พักอาศัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และครอบครัว (บริเวณโรงน้ำแข็งเพชรเจริญเดิม) ทำเนียบ “สามัคคีชัย” ที่เขารัง และทำเนียบที่บ้านน้ำก้อใหญ่ ไว้เป็นที่พักแรม มีการวางแผนสร้างบ้าน บัญชาการ สำนักนายกฯ ที่บริเวณ บึงสามพันด้วย
8. การก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ได้ทวี ความสำคัญมากยิ่งขึ้นใน ขณะ นั้นได้มี การจัดงบ ประมาณ เพิ่มเติมเพื่อ สร้างศาลากลาง เพชรบูรณ์ (บริเวณเดียวกับที่ตั้งศาลากลางจังหวัดปัจจุบัน) และการเตรียมย้ายรัฐบาล มายังเพชรบูรณ์ จนกระทั่งมีการแต่งตั้ง พ.อ.ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ดูแล กิจการทั้งสิ้นที่เพชรบูรณ ์แทนนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจ อย่างนายกฯ เรียกว่า รองนายกฯ ประจำเพชรบูรณ์ และเมื่อเดือน ตุลาคม 2486 ได้มีการปรับปรุง เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ให้เป็นเทศบาลนครเพชรบูรณ์เพื่อ รองรับการ ก่อสร้าง และการขยายตัวของ เมืองหลวงใหม่
9. ได้มีคำสั่งย้ายกรมโยธาเทศบาล (กรมโยธาธิการ) มาอยู่บ้านยาวี อำเภอเมืองฯ จัดการวางผังสร้างกรมไปรษณีย์ กรมทางและกรมขนส่ง ที่บ้านท่าพล อำเภอเมืองฯ มีการวางแผนสร้างทางรถไฟจากอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี มาที่จังหวัดเพชรบูรณ์จนถึงจังหวัดเลย มีการสร้างบำรุง ถนนสายหลักเพชรบูรณ์ ตั้งแต่เชิงเขาวังชมภู ถึงค่ายทหารบ้านหินฮาว อำเภอหล่มเก่า ตั้งกระทรวงศึกษาที่บ้านหนองแส ตำบลบุ่งคล้า อำเภอ หล่มสัก แม้แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยยังมีแผนที่จะต้องอพยพ มาเปิดสอนที่เพชรบูรณ์ด้วย โดยจะสร้างที่บ้านไร่ ตำบลสะเดียง แต่ขณะนั้นโรงเรียนเตรียมจุฬาฯ ได้อาศัยเรียนที่โรงเรียนเมืองเพชรบูรณ์ (เดิมเป็นโรงเรียนเพชรพิทยาคม)
10. การก่อสร้างและติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้สั่งการ ให้ติดตั้ง เครื่องกำเนิดไฟฟ้าไว้หลายแห่งทั้งในเมือง และหน่วย ราชการมีการเพิ่ม โทรศัพท์ให้เพียงพอแก่ความ ต้องการของราชการ ปรับปรุงการโทรเลขมีการ สร้างโรงหนังไทยเพ็ชรบูล สโมสรรัตนโกสินทร์ และโรงแรมขึ้นในเขตเมืองเพชรบูรณ์เพื่อให้ข้าราชการ ได้ใช้เวลามาตรวจราชการ มีการสั่งการ ให้สร้างตลาดสดและอาคารเช่า 3 แห่ง คือ ตลาด เพชรบูรณ์ ตลาดวังชมภู และตลาดหล่มสัก ซึ่งทุกแห่งต้องมีโรงมโหรสพด้วย
11. ได้มีการสั่งย้ายโรงพิมพ์ทุกประเภทมาที่เพชรบูรณ์ เมื่อเวลา กรุงเทพฯ ถูกโจมตีทางอากาศไม่สามารถทำงานได้ จะได้ใช้โรงพิมพ์ ตั้งใหม่ที่เพชรบูรณ์พิมพ์หนังสือราชการ (ตั้งอยู่บ้านป่าแดง) และโรง พิมพ์ธนบัตร (อยู่ที่หนองนายั้ง) จัดตั้งโรงเลื่อยที่วังชมภูโดยกรมยุทธโยธา (โรงเลื่อย ยย.) สร้างกระทรวงสาธารณสุขที่บ้านวังซอง ตำบลท่าพล อำเภอเมืองฯ และโรงพยาบาลที่ร่องแคน้อย ตำบลสะเดียง (บริเวณสถาบัน ราชภัฏเพชรบูรณ์ปัจจุบัน) ให้ชักชวนผู้รับเหมางานที่เพชรบูรณ์ เพราะมีการก่อสร้างทั้งส่วนราชการและเอกชนจำนวนมาก หากไม่มีใครมาก็ต้องเกณฑ์ให้มาจนพอแก่งาน
12. การก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ได้ดำเนินการโดยเร่งด่วน และถือเป็น ความลับของราชการ ยุทธของชาติตลอดมา เพื่อ มิให้ข้าศึกรู้แผนกการณ์ กระทั่งวันที่ 20 กรกฎาคม 2487 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เสนอ พระราชกำหนด ระเบียบราชการ บริหารนครบาลเพชรบูรณ์ฯ พ.ศ. 2487 ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออนุมัติเป็นพระราชบัญญัติ มีผลดำเนินการ อย่างถาวร ตลอดไปแต่ในที่สุดสภา ผู้แทนราษฎร ลงมติไม่อนุมัติด้วยคะแนนเสียง 48 ต่อ 36 ด้วยเหตุผลว่า “เพชรบูรณ์เป็นแดนกันดาร ภูมิประเทศ เป็นป่าเขา และมีไข้ชุกชุม เมื่อเริ่มสร้างเมืองนั้น ผู้ที่ถูกเกณฑ์ไปทำงานล้มตายลง นับเป็นพัน ๆ คน…. ” อนุสรณ์นครบาลเพชรบูรณ์แห่งนี้ จึงสร้างขึ้นเพื่อรำลึก ถึงบุญคุณและอัจฉริยภาพของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และเพื่อคน เพชรบูรณ์ จะได้ภูมิใจ ในประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งและความเจริญก้าวหน้า ของบ้านเมืองตน’>
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook