

จังหวัดเพชรบูรณ์ เริ่มแรกเขาประกาศให้พื้นที่ทั้งเขาจังหวัด เป็นอุทยานธรณีเพชรบูรณ์ ซึ่งเริ่มแรกนั้นเขาเลือกสถานที่ที่มีความโดดเด่นทางธรณี 22 แห่ง เป็นตัวชูโรง ในการเปิดตัวให้เป็นอุทยานธรณีระดับจังหวัด ( การจะเป็นอุทยานธรณี จะมีอยู่ 4 ระดับ คือ ระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด ระดับประเทศ และระดับโลก ที่เราเข้าใจกันว่าเป็นมรดกโลกทางธรณีนั่นเอง ซึ่งยูเนสโกจะเป็นคนรับรอง) ซึ่งในการเสนอตัวขึ้นมาระดับประเทศและไประดับโลกจะมีแหล่งเพิ่มขึ้นมา ครอบคลุมทั้งวิถีชีวิต วัฒนธรรม แต่ต่อมาเห็นว่าพื้นที่ทั้งจังหวัดนั้น ใหญ่เกินไป บริหารจัดการไม่ได้ เขาเลยให้เหลือแค่ 3 อำเภอคือ อ.เมือง อ.หล่มสักและ อ.น้ำหนาว เนื้อที่ 4,430 ตร.กม. ซึ่งเงื่อนไขของอุทยานธรณีนั้นเขาจะต้องให้ชุมชนมาเกี่ยวข้องด้วยหรือชุมชนในพื้นที่ได้ประโยชน์ด้วย แล้วเขาอาจจะประกาศทับพื้นที่อุทยานแห่งชาติด้วย ประกาศทับอำเภอ บ้านเรือน ที่ดินทำกินของชาวบ้านก็ได้ แต่อย่าไปสนใจ เพราะเขาจะไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องการจัดการ เขาจะเน้นไปในเชิงให้ความรู้และประชาสัมพันธ์มากกว่า ในส่วนของอุทยานธรณีเพชรบูรณ์ที่ผมว่านี้แม้จะเหลือแค่ 3 อำเภอ แต่เขาก็ยังมีหลายแหล่ง แต่ที่น่าสนใจและอยากนำมาเล่าก็คือที่ที่เขาเรียกว่า แคนยอนน้ำหนาว

ว่าด้วยเรื่องการเดินทางก่อน คือเมื่อเราเดินทางมาจากสามแยกคอนสาร(ที่จะไปเมืองเลยไปผานกเค้านั่นเอง) มาตามถนนหมายเลข 12 มุ่งหน้าไปหล่มสัก จนมาถึงสามแยกบ้านห้วยสนมทราย จะมีทางแยกขวามือเข้าไปตามถนนหมายเลข 2216 ไปยัง อ.น้ำหนาว พอขึ้นเนินเขาไปก็จะเจอชุมชนแรกคือบ้านโคกมน จะเห็นวัดโคกมน อยู่ทางขวามือ ให้เข้าไปในวัด แล้วขับเลยพระอุโบสถเข้าไปตามทางไปหลังวัด ราว 500 เมตรจนถึงลานจอดรถ ใกล้บริเวณน้ำตก นาคราชตาดหมอก หรือที่ถูกขนานนามว่าเป็นแคนยอนน้ำหนาว โดยเขาให้นิยามบริเวณนี้ว่าเป็นความมหัศจรรย์ของเปลือกโลก

บริเวณของแคนยอนน้ำหนาว จะเป็นเวิ้งหน้าผาหินชั้น กว้างแทบจะเป็นครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ มีหุบเหวข้างล่างสูงกว่า 300 เมตร หินที่ประกอบเป็นหน้าผา มีทั้งหินปูน หินทราย และหินดินดาน ซึ่งล้วนเป็นหินตะกอน(หรือหินชั้น) ทั้งสิ้น นี่คือแผ่นดินที่ถูกยกตัวสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
ถ้าเรามาจากชุมแพมุ่งหน้าขึ้นน้ำหนาวจะไปหล่มสักตามถนนหมายเลข 12 มุ่ง ท่านผู้อ่านสังเกตดูว่าทางมันจะขึ้นเนินไปเรื่อยๆ แล้วก็จะไปสุดเป็นเหวลึกที่สะพานห้วยตอง ที่เขาบอกว่าตรงนั้นเป็นสุดปลายแผ่นเปลือกโลก เพราะจริงๆแล้ว แผ่นดินน้ำหนาวมันเป็นแผ่นดินที่ถูกยกตัวสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการเบียด ชนกันของแผ่นเปลือกโลก พื้นที่ย่านนี้ทั้งหมดเป็นหินตะกอน หรือหินชั้น อาจจะเคยเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ หรือธารน้ำโบราณ ที่น้ำพัดพาตะกอนสารต่างๆมาทับถมกันเป็นชั้นๆ จนกระทั่งกลายเป็นหิน เมื่อราว 200 ล้านปีก่อน เมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่เบียด ดันกัน ทำให้พื้นที่เกิดจากการยกตัวขึ้น ชั้นหินที่เคยทับกันในธารน้ำโบราณ พอถูกดันให้ยกตัวขึ้น ก็เกิดการโก่งงอและแตกหักเป็นแนวยาวตามทิศทางการโก่งตัวของชั้นหิน ต่อมามีการผุพังโดยน้ำ ลม แสงแดดจนกลายเป็นหน้าผาในที่สุด

หน้าผาดังกล่าว เกิดจากชั้นหินที่มีความทนทานต่อการผุพังที่แตกต่างกัน โดยชั้นหินทรายและทรายแป้งจะมีความทนทานจากการผุพังและกัดกร่อนได้ดี จึงยังคงสภาพ ขณะที่ชั้นหินดินดานที่แทรกสลับอยู่จะเกิดการผุพังและถูกกัดกร่อนได้ง่ายกว่า ชั้นหินดินดานที่ผุพังและเกิดการกัดกร่อน จะถูกพัดพาไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกตามกระแสน้ำ ลม เกิดเป็นช่องว่างเว้าเข้าไปในผาหิน ชั้นหินทรายที่อยู่ด้านบน แล้วเกิดการแตกหักเนื่องจากน้ำหนักของชั้นหินที่ไร้สิ่งรองรับ ทำให้หน้าผาดังกล่าวขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ แคนยอนน้ำหนาวแห่งนี้ จึงมีลักษณะเป็นเวิ้งหน้าผาสูงชัน มีความสวยงามคล้าย “แกรนด์แคนยอน” ที่มีชื่อเสียงระดับโลกของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ถูกย่อส่วนลงมาเท่านั้น ตรงน้ำตกตาดหมอกนาคราชนี้จะเห็นชั้นหนที่ผมบอกมาให้เห็นชัดเจนว่าหินอะไรซ้อนทับอะไร ในแนวทิศทางไหนจำลองให้เห็นภาพของธรณีสัณฐานของย่านนี้ได้เป็นอย่างดี

ในฤดูฝนจะมีสายน้ำลำธารเล็กๆ ไหลตกลงไปในหุบเวิ้งเบื้องล่าง อย่างเช่นน้ำตกนาคราชตาดหมอก สายน้ำตกเล็กๆ ที่เคยไหลตกลงไปอยู่ชั่วนาตาปี ทำหน้าที่รังสรรค์ธรรมชาติจนเกิดเป็นปรากฏการณ์ทางธรณีดังกล่าว สายน้ำเพิ่งจะมาเหือดแห้งเมื่อผืนป่าด้านบนถูกแผ้วถางจนป่าต้นน้ำสูญสิ้นไปพร้อมกับสายน้ำที่เคยตกดิ่ง จะปรากฏให้เห็นอีกครั้งก็เมื่อเข้ากลางฤดูฝนแล้วเท่านั้น

ถ้าหากยังนึกภาพไม่ออก ว่าหลุมลึกและหน้าผาของแคนยอนน้ำหนาว เกิดขึ้นได้อย่างไร ให้เลยจากวัดโคกมนออกมาแล้วใช้ถนน หมายเลข 2216 ไปทางน้ำหนาว ราว 300 เมตร จะเห็นแยกทางเข้าบ้านโคกมน-บ้านดงมะไฟ ทางขวามือ เข้าไปตามทางจนถึงบ้านดงมะไฟ แล้วเลยทะลุออกไปท้ายหมู่บ้าน เป็นทางลำลองไปจนถึงริมน้ำตกตาดใหญ่ จอดรถแล้วจึงเดินไปดูคำอธิบายนั้น

น้ำตกตาดใหญ่ เป็นน้ำตกที่จะเห็นสายน้ำที่กัดเซาะภูเขาหินที่ถูกเบียดดันจนเป็นร่องลึกขนาดใหญ่
น้ำตกแห่งนี้ เป็นน้ำตกหินดินดาน ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของหินตะกอน(เพราะเกิดจากการสะสมทับถมกันของชั้นตะกอนต่างๆ)หรือหินชั้น (เพราะสะสมตัวเป็นชั้นๆ)ที่ซ้อนทับกันเป็นแผ่นๆ ต่อมาถูกยกตัวขึ้นมาจากการเบียด อัด ชน โดยแผ่นเปลือกโลกทำให้เกิดการคดโค้งและรอยแตกบนพื้นหินเกิดขึ้น ต่อมาน้ำจึงไหลลงตรงบริเวณนั้น นานเข้าๆ ก็กัดกร่อนร่องแตกเล็กๆจนเป็นร่องธารกว้างและลึกลงไป เมื่อลองเดินลงไปตามลานหินในร่องหุบห้วยนั้น ก็จะเห็นว่าหินดินดานที่ซ้อนทับกันเป็นแผ่นๆ ชั้นๆนั้น มรความคดโค้งอย่างเด่นชัด และเมื่อน้ำไหลไปจนสุดทางที่เป็นหน้าผาสูงชัน ตกลงไปในแนวดิ่งสูงราว 60 เมตรนั้น จะเห็นบริเวณหน้าผาก็เป็นแนวโค้งเช่นกัน ร่องธารน้ำที่ไหลลงมานั้นค่อยๆ กัดเซาะหินกร่อนไปทีละน้อยๆ ใช้เวลานับล้านๆ กว่าจะเป็นน้ำตกตาดใหญ่ จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้เช่นนี้

นี่คือบางส่วนของอุทยานธรณีเพชรบูรณ์ ที่อยากเอามาเล่าสู่กันฟัง เผื่อนผ่านไปผ่านมาจะได้เข้าไปพิสูจน์ความมหัศจรรย์ทางธรณีของที่นี่ได้ แล้วจะเห็นว่าบ้านเมืองของเรานั้นไม่ธรรมดา….
…………………………………
(ประเทศไทยใจเดียว-เสาร์สวัสดี-กรุงเทพธุรกิจ ๑ ก.พ. ๖๓)
ขอขอบคุณที่มา https://blog.tawanyimchang.com/?p=4763
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook