วันที่ 19 พ.ย.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของคืนวันที่ 18 พ.ย.65 กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสายสืบ สภ.บึงสามพัน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ ได้วางแผนเข้าจับกุมนายนเรศ พิแก้ว อายุ 37 ปี ชาว อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) หลังสืบทราบว่าผู้ต้องหารายนี้หลบหนีเข้ามากบดานหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่จะบุกเข้าชาร์จเพื่อรวบตัว ปรากฎว่านายนเรศเกิดไหวตัวทัน จากนั้นจึงพยายามขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อเมอร์ซิเดสเบ๊นซ์ สีดำ เลขทะเบียน 1 ขษ 121 กรุงเทพมหานคร หลบหนีการจับกุม จากบ้านดงเข็ม ต.ซับสมอทอด ไปตามถนนทางหลวงหมายเลข 21 สายสระบุรี-หล่มสัก เป็นระยะทางไกลกว่า 20 กิโลเมตร โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถติดตามไล่ล่ากันอย่างระทึก
กระทั่งสุดท้ายรถยนต์เก๋งของผู้ต้องหาตามหมายจับรายนี้ ได้เกิดประสบอุบัติเหตุขับชนกับรอยต่อช่วงทำถนนใหม่ซึ่งเป็นทางต่างระดับ เส้นทางหลวงหมายเลข 275 สายนครสวรรค์-ชัยภูมิ บริเวณบ้านตะกุดหิน ต.ซับสมอทอด อ.บึงสามพัน ทำให้รถเสียหลักพังยับเยิน ขณะที่ผู้ต้องหายังพยายามจะพาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บวิ่งหนีลงทุ่งนา แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัวได้ในที่สุด พร้อมนำตัวไปทำการรักษาอาการบาดเจ็บ ก่อนจะควบคุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย
ข่าวแจ้งว่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ภายใต้การสั่งการของนายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ร่วมกับ พลตำรวจตรี ฐเดช กล่อมเกลี้ยง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้บูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย เพื่อตรวจคัดกรองหาผู้เสพยาบ้า เพื่อนำตัวไปเข้าสู่กระบวนการบำบัด เพื่อคืนคนดีสู่สังคม ตามโครงการ”รีเอกซเรย์” โดยปฏิบัติการดังกล่าวพุ่งเป้าที่เยาวชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ อ.บึงสามพัน ภายใต้การอำนวยการของนายสมพงษ์ ทองหนูนุ้ย นายอำเภอบึงสามพัน
ซึ่งผลปรากฎว่า นอกจากการตรวจหาสารเสพติดในเยาวชนกลุ่มเสี่ยงตามเป้าหมายแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ยังสามารถจับกุมผู้ค้า 2 ราย คือ นายอนุรักษ์ ข่มทรัพย์ อายุ 29 ปี และ นายธีรเดช รัตนวุฒิกุล อายุ 21 ปี ชาวต.บึงสามพัน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 92 เม็ด โดยแจ้งข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ( ยาบ้า ) ก่อนส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.บึงสามพันดำเนินคดี ส่วนเยาวชนที่ทำการตรวจหาสารเสพติด เพื่อจะนำตัวไปบำบัดหลังพบผู้เสพตามโครงการ “รีเอกซเรย์” จนถึงขณะนี้พบจำนวนยอดผู้เสพพุ่งสูงกว่า 300 รายแล้ว
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook