กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับการค้นพบ ‘เมืองศรีเทพ’ สู่ความภาคภูมิใจของคนไทยวันนี้
เมื่อวันที่ 24 กันยายน หม่อมหลวง (ม.ล.) ปนัดดา ดิศกุล สมาชิกวุฒิสภา อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมและจังหวัดเชียงใหม่ ประธานพิพิธภัณฑ์วังวรดิศและหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ณ วังวรดิศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และทายาทชั้นเหลน หรือชั้นปนัดดา ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวถึงเมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนประกาศให้เป็นมรดกโลกว่า ถือเป็นพระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สมเด็จพระปัยกา (สมเด็จทวด) ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในทุกครั้งเมื่อเสด็จเยี่ยมหัวเมือง ในขณะที่ทรงมีพระกำลังวังชาหนุ่มแน่น กับอีกในเวลาต่อมาเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ในการเสด็จตรวจราชการหัวเมือง ก็ให้ได้ค้นคว้าศึกษาถึงสถานที่สำคัญต่างๆ โบราณสถานของสยามประเทศ ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ประชาชนชาวไทยได้เรียนรู้ความเป็นมาของแผ่นดิน ก่อนกำเนิดความเป็นชาติ มีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ เกิดความรักสมัครสมานของคนในชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข สถิตเสถียร และมีความมั่นคง
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงค้นหา “เมืองศรีเทพ” โดยทรงเล่าประทานไว้ในหนังสือ “นิทานโบราณคดี” ว่า สมัยที่ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ทรงเห็นชื่อ “เมืองศรีเทพ” ในต้นร่างสมุดไทยแจ้งข่าวสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 2 ไปยังหัวเมืองต่างๆ อาทิ สระบุรี ชัยบาดาล ศรีเทพ และเพชรบูรณ์ จึงได้เค้าว่าเมืองศรีเทพอยู่ทางลุ่มน้ำป่าสัก แต่ยังไม่ทราบที่ตั้งชัดเจน กระทั่งเมื่อเสด็จไปตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์ ร.ศ.123 (พ.ศ. 2447) จึงได้ทรงทราบข้อมูล 2 เรื่อง คือ
1.มีเมืองโบราณนาม “เมืองอภัยสาลี” อยู่ใกล้เมืองวิเชียรบุรี
2.พระยาประเสริฐสงคราม ให้ข้อมูลว่าเดิมเมืองวิเชียรบุรี มีนาม 2 อย่าง คือท่าโรงและศรีเทพ ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 พระศรีถมอรัตน์มีความชอบจากคราวรบศึกเวียงจันทน์ โปรดให้ยกศรีเทพเป็นเมืองตรี แล้วเปลี่ยนนามเป็นวิเชียรบุรี เปลี่ยนราชทินนามเจ้าเมืองจากศรีถมอรัตน์เป็นพระยาประเสริฐสงคราม
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปดูเมืองอภัยสาลีด้วยพระองค์เอง ประทับค้างแรมที่นั่น รับสั่งว่าเป็นเมืองโบราณ ระยะทางห่างลำน้ำราว 150 เส้น เป็นเมืองใหญ่โต ตั้งในที่ราบ มีคูรอบและมีปราการถึง 2 ชั้น มีสระน้ำหลายสระ ที่กลางเมืองมีปรางค์เทวสถาน ทั้งข้างนอกเมืองและในเมืองอีกหลายแห่ง แต่ข้อสำคัญของการดูเมืองโบราณแห่งนี้ อยู่ที่ไปพบหลักศิลาแปลกๆ มีอยู่โดยทั่ว ตามพระปรารภตอนหนึ่งความว่า :
“…ศิลาจารึกพบที่เมืองศรีเทพครั้งนี้ เป็นของแปลกมาก ลักษณะคล้ายตะปูหัวเห็ด ข้างปลายที่เสี้ยมแหลมเป็นแต่ถากโกลนสำหรับฝังดิน ขัดเกลี้ยงแต่ที่หัวเห็ดจารึกอักษรไว้ที่นั้น เป็นอักษรคฤนถ์ชั้นก่อนหนังสือขอม แต่ตรงที่จารึกแตกชำรุดเสียมาก ได้เอาศิลานี้ลงมากรุงเทพฯ ให้อ่านดูเป็นภาษาสันสกฤตมีคำว่า ‘ขีลัง’ ซึ่งแปลว่าหลัก จึงเข้าใจว่าศิลาแท่งนี้ คือหลักเมืองศรีเทพ แบบโบราณเขาทำเป็นรูปตะปูตอกลงไว้ในแผ่นดิน ประสงค์ว่าให้มั่นคง…”
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับชื่อเมืองโบราณที่ชาวบ้านในยุคนั้นเรียกว่า “อภัยสาลี” สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเห็นว่าชื่อเดิมเมืองโบราณนี้น่าจะชื่อเมืองศรีเทพ ซึ่งต่อมาเป็นต้นเค้าที่มาของชื่อศรีเทพอันเป็นนามเดิมของเมืองวิเชียรบุรี ความว่า :
“…เมืองโบราณนั้นพวกพราหมณ์จะขนานชื่อว่ากระไรก็ตาม เป็นมูลของชื่อเก่าเมืองวิเชียรบุรีที่เรียกว่า “เมืองศรีเทพ” เพราะยังเรียกเป็นชื่อตำบลบ้านชานเมืองมาจนบัดนี้…”
การค้นคว้าในชั้นหลังยังพบอีกด้วยว่า เมืองศรีเทพเป็นชุมชนที่มีผู้คนอยู่อาศัย และได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นเมือง เนื่องด้วยยุทธศาสตร์ทางด้านการค้าและการขนส่งระหว่างภูมิภาค ถือเป็นเส้นทางสู่อีสานในยุคโบราณ เชื่อมโยงเส้นทางการค้าเกลือจากภาคอีสานสู่ภาคกลาง ซึ่งความเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางด้านการค้านี้เองที่ช่วยพัฒนาเมืองศรีเทพจากชุมชนชนบท สู่ความเป็นเมืองสำคัญที่มีความเจริญรุ่งเรือง และที่น่าสนใจคือ จากการขุดค้นพบตะเกียงโบราณจากจักรวรรดิโรมัน สะท้อนถึงความเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงของเส้นทางการพาณิชย์ของโลกยุคโบราณจากทวีปยุโรปสู่สุวรรณภูมิ
ด้วยเหตุนี้ กรมศิลปากรจึงเรียกชื่อเมืองแห่งนี้ว่าเมืองศรีเทพ ตามพระวินิจฉัยของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2566 องค์การยูเนสโกแห่งสหประชาชาติ ประกาศเกียรติคุณให้เมืองศรีเทพเป็น “เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม” ที่พี่น้องชาว จ.เพชรบูรณ์และประชาชนชาวไทยต่างมีความภาคภูมิใจ
“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าฯ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแนวพระราชดำริเรื่องในความเป็นชาติ ค้นคว้าศึกษาความเป็นมาของชาติ เพื่อให้ลูกหลานไทยได้เรียนรู้ ตระหนัก และยังความภาคภูมิใจแก่พสกนิกรชาวไทยทั้งปวงตราบทุกวันนี้” ม.ล.ปนัดดากล่าว
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook