LINE : ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์

ยินดีต้อนรับสู่เพจข่าวท้องถิ่นเพชรบูรณ์

วันพฤหัสที่ 19 ธันวาคม 2024
คอลัมน์วันนี้

ประวัติโรงเรียนนายร้อยป่าแดง

998043_608726049159868_1415097263_n

ประวัติโรงเรียนนายร้อยป่าแดง

            การเคลื่อนย้าย เหตุผลของการเคลื่อนย้ายโรงเรียนนายร้อย รวมทั้งกระทรวงต่างๆของรัฐเข้าสู่จังหวัดเพชรบูรณ์เนื่องจากสงครามมหาเอเชียบูรพาโดยประเทศญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔  ครั้นวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๕ ประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เรียกว่าเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นต่อสู้กับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ การเป็นมิตรกับญี่ปุ่นเกิดการผันผวนทางการเมืองเพื่อความอยู่รอด ความมั่นคง ความปลอดภัยของชาติ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีผู้นำของไทยจึงคิดย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปอยู่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยออก “พระราชกำหนดระเบียบการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ และสร้างพุทธบุรี พ.ศ.๒๔๘๗” ระหว่างยื่นพระราชกำหนด กระทรวง ทบวง กรมของรัฐเริ่มทยอยเข้าเพชรบูรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๖ โรงเรียนนายร้อยเป็นหน่วยหนึ่งของกระทรวงกลาโหม จึงเริ่มเตรียมการเคลื่อนย้ายเช่นเดียวกัน
กรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นหน่วยงานบังคับบัญชา โรงเรียนนายร้อยทหารบก โรงเรียนเทคนิคทหารบก โรงเรียนนายร้อยสำรองทหารบก และโรงเรียนเตรียมทหารบก รวมทั้งนักเรียนนายเรือฝากเรียนจึงเริ่มเคลื่อนย้ายหน่วยงานในความรับผิดชอบ จากพระนครเข้าเมืองเพชรบูรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๖ และไปตั้งกองบัญชาการอยู่ที่วัดโพธิ์กลาง บ้านป่าแดง ตำบลป่าเลา อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ กรมยุทธการทหารบก จึงวางแผนการเคลื่อนย้ายนักเรียนในบังคับบัญชาทยอยส่วนๆ ส่วนแรกออกเดินทางไปในวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๗ เวลา ๑๘.๐๐น. เดินเท้าพร้อมอาวุธเครื่องสนามจากโรงเรียนนายร้อยที่ถนนราชดำเนินไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟสามเสน รถไฟวิ่งไปถึงสถานีรถไฟตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เวลาบ่ายโมงวันรุ่งขึ้น จากสถานีตะพานหิน นักเรียนทุกคนเคลื่อนย้ายด้วยการเดินเท้าไปอีกประมาณ ๒ กิโลเมตร เพื่อเข้าพักแรมที่วัดหนองพะยอมก่อนหนึ่งคืน รุ่งเช้าเริ่มการเดินทางต่อไปจากวัดหนองพะยอมตามเส้นทางหลวงตะพานหิน-เพชรบูรณ์ ระยะทางประมาณ ๑๐๒ กิโลเมตรจากตัวจังหวัดเดินทางอีก ๘ กิโลเมตร เข้าสู้สำนักศึกษาที่ป่าแดง การเดินทางแบบทหารธรรมดา คือ เดินทางวันละ ๒๐ กิโลเมตร ใช้เวลา ๕ วัน ถึงตัวจังหวัดเพชรบูรณ์
ขอบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าระหว่างเดินทางโดยรถไฟ บางครั้งรถไฟต้องจอดระหว่างทางอย่างกะทันหัน เจ้าหน้าที่รถไฟได้รับแจ้งว่ามีเครื่องบินเข้าศึกวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า เมื่อรถไฟหยุดนักเรียนทุกคนก็แย่งกันโดดลงไปตัวใครตัวมัน วิ่งออกไปจากรถไฟอาศัยทุ่งนาป่าละเมาะตามความเหมาะสมการบอมบ์ของเครื่องบินสัมพันธมิตร เลือกบอมบ์สะพานรถไฟ สถานีรถไฟ ที่สถานีรถไฟตะพานหินโดนบอมบ์เช่นเดียวกัน แต่มิใช่ระหว่างการเดินทางของนักเรียนนายร้อย
การเดินทางของนักเรียนจะเรียกว่า ลองมาร์ช หรือชอร์ทมาร์ช ก็ได้ จะต้องผ่านป่า ผ่านทุ่งนา ผ่านป่าดงดิบขึ้นเขาลงห้วยสลับกันไป ขาดมิได้คือการผ่านหมู่บ้านตามชนบทระยะไกลบ้าง ใกล้บ้าง ระหว่างทางจะได้รับการเมตตาจากชาวบ้านผู้มีน้ำใจงาม แจกผลไม้ของพื้นบ้าน เช่น กล้วย อ้อย น้ำเย็นๆจากโอ่งดิน ให้พวกเราได้กินดื่มอย่างสดชื่น ที่ต้องขอบันทึกไว้คือที่ทับคล้อ ได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษด้วยอาหารการกินและผลไม้ จากกำนันเต็ง บุรพรัตน์ เจ้าของโรงสีข้าวทับคล้อ และที่ดงขุย กับสามแยกวังชมพูก็ได้รับการต้อนรับพิเศษจากกำนันจุน คุ้นวงษ์ คนขยันของชาติ ในวาระครบรอบ ๕๐ ปี คณะนักเรียนนายร้อยและนายทหารในกองบัญชาการโรงเรียนนายร้อยที่ยังมีชีวิตอยู่ (สูญหายตายจากไปแล้วมากกว่า ๔๐๐ คน) ขอขอบพระคุณอีกครั้งหนึ่งด้วยความระลึกถึงความเมตตา จากท่านทั้งหลายในครั้งคราวนั้นรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของจังหวัดเพชรบูรณ์ ชาวเมืองเพชรบูรณ์ ที่ได้จัดอาหารมื้อเย็นอันโอชะอร่อยประทับปากประทับใจ ในเย็นวันที่ ๕ ของการเดินทางถึงใจกลางเมืองเพชรบูรณ์
การเคลื่อนย้ายยังไม่หมด เพราะยังเหลือนักเรียนเตรียมทหารบกรุ่นที่ ๗ รุ่นนี้ประกาศผลการสอบ ในเดือนเมษายน ๒๔๘๗  กรรมวิธีการเข้าเป็นนักเรียนและรอการเดินทางจนถึงวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๗ ส่วนแรกจึงเริ่มเคลื่อนย้ายไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟสามเสน เช่นเดียวกับชุดแรก โชคดีรุ่นนี้เมื่อถึงสถานีตะพานหินไม่ต้องเดินเท้าเช่นชุดแรก เพราะทางราชการนำรถยนต์มารับจากสถานีไปส่งถึงป่าแดง

สถานที่ตั้งโรงเรียนนายร้อยป่าแดง

            หมู่บ้านป่าแดง บ้านป่าแดงตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของตัวเมืองเพชรบูรณ์ ระยะทาง ๘ กิโลเมตร ทางด้านตะวันตกของบ้านป่าแดงจะเป็นแนวเขาสูงสลับซับซ้อน จากเขาใหญ่ต่อเนื่องไปจนถึงเทือกเขาค้อ และเขาย่า แนวเขาทั้งหมดยาวลงไปทางใต้ จากเทือกเขาอันสลับซับซ้อน จึงทำให้บังเกิดน้ำไหลลงมาจากยอดเขารวมตัวกันจนเป็นห้วยใหญ่ เรียกว่าห้วยป่าแดง ไหลผ่านหมู่บ้านป่าแดง คดเคี้ยวไปอีกหลายหมู่บ้านเข้าตัวเมืองเพชรบูรณ์ และลงไปสู่แม่น้ำป่าสัก เนื่องจากเป็นลำน้ำที่สำคัญทางการจึงกั้นเขื่อนทำอ่างเก็บน้ำเพื่อการเกษตร และใช้บริโภคในเมืองเพชรบูรณ์จนถึงทุกวันนี้  หมู่บ้านป่าแดง มีหมู่บ้านประมาณ ๖๐ หลังคาเรือน มีวัดอยู่ ๒ วัด คือ วัดโพธิ์กลาง (วัดเหนือ) วัดทุ่งแจ้ง (วัดใต้) ชาวบ้านทำนาทำไร่ หาของป่าเลี้ยงชีพ และมีการปลูกยาสูบ เพื่อไว้บริโภคเป็นหลัก ถ้ามากก็นำไปขายต่อ
สำหรับกรมยุทธศึกษารวมทั้งหน่วยขึ้นตรง ขั้นแรกตั้งกองบัญชาการอยู่ที่วัดโพธิ์กลางซึ่งติดกับห้วยป่าแดง หน่วยรองลงมาแยกย้ายไปอยู่วัดทุ่งแจ้ง กางเต็นท์สร้างโรงชั่วคราวกลางทุ่งบ้าง ส่วนของโรงเรียนนายร้อยส่วนมากข้ามฟากห้วยป่าแดงไปอยู่อีกทางหนึ่ง บ้านพักทหารนายผู้ใหญ่หาเช่าบ้านจากชาวบ้าน เช่น จอมพลถนอม กิตติขจร (ขณะนั้นยศพันตรีรับพระราชทานยศในสนามเป็นพันโท ได้มีพิธีติดยศกันในโบสถ์วัดโพธิ์กลาง) เช่าบ้าน(เรือนโบราณ) จากนายกลัด
บุญเรือง (ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่) เดือนละ ๑๐ บาท ส่วนพลตรีขุนเรือง เรืองวีระยุทธ เจ้ากรมยุทธศึกษา ขั้นแรกปลูกโรงเล็กๆ อยู่บริเวณลานวัดโพธิ์กลาง ภายหลังย้ายไปอยู่หลังบ้านหลังใหญ่ สร้างด้วยไม้ไผ่
ก่อสร้างโรงเรียนด้วยโรงเรือน สำหรับนักเรียนจัดให้อยู่ กิน นอน ทางฝั่งใต้ของห้วยป่าแดง หรืออยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของวัดโพธิ์กลาง โดยแบ่งพื้นที่บริเวณบ้านป่าแดงดังกล่าว แล้วตัดถนนเริ่มจากริมห้วยใกล้วัดคดเคี้ยวลงทางใต้ ผ่านไปตามที่ราบที่ชายเนินเขาเป็นระยะทางประมาณ ๒ กิโลเมตรเศษ ถนนสายนี้ยังมีร่องรอยเหลืออยู่และได้รับเกียรติชื่อว่า “ถนนกิตติขจร” การปลูกสร้างเริ่มจากหัวถนนทางด้านตะวันตก มีพื้นที่มากจึงปลูกสร้างมากเป็นแนวลงใต้ ดังนี้  โรงเลี้ยง โรงเรือนนักเรียนนายร้อยปี ๑-๒-๓ โรงเลี้ยงโรงเรือนนักเรียนเตรียมปี ๑-๒ ตอนเรียงพอถึงเสนารักษ์ (โรงพยาบาลป่าแดง) กลับมาอยู่บนเนินผักชีฝั่งตะวันออกของถนน จากเสนารักษ์ลงไปก็มีโรงเรียนของนักเรียนนายร้อยเทคนิค โรงเรียนนักเรียนนายร้อยสำรอง ตอนเรียงโรงเลี้ยงไปตามลำดับ บริเวณนี้อยู่ใกล้หมู่บ้านพรำบนเนินด้านเหนือ บ้านพรำ เป็นบ้านของนายทหารปกครอง โรงเรียนนายร้อยสำรองยังมีร่องรอยเหลืออยู่คือ บ้านพักของพันตรีสำราญ แพทยกุล พวกเราเรียกให้คล้องจองว่า “ผู้กองสำราญ ผู้การนายร้อยสำรอง” ท่านเสียชีวิตไปสิบกว่าปีแล้วขณะมียศพลเอกท่านผู้นี้นักเรียนนายร้อยสำรองเคารพรักมากที่สุดและเรียกกันว่า ป๋า บ้าง พ่อบ้าง เนินด้านตะวันตกของเสนารักษ์ตั้งโรงไฟฟ้ามีไว้เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะ ปัจจุบันยังมีแท่นคอกรีตอยู่อาคารเรือนโรงต่างๆ ปัจจุบันพังกันไปหมดแล้ว เหลือแต่พื้นดินล้วนแต่เป็นไร่นาของชาวบ้าน บางส่วนเป็นเขตชลประทาน และคันคูคันคลองส่งน้ำ

 

อ้างอิง : วุฒิสาร ทองรักษ์,สุทัศน์ ธิยานันท์ และสิงห์ทอง กล้วยหอมทอง. (2551).การพัฒนาหลักสูตรสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นเรื่องป่าแดงบ้านเรา 
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม  สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6.  รายงานการศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.’>

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook

คอลัมน์วันนี้ ล่าสุด

อัพเดทล่าสุด