เมื่อลมหนาวเริ่มพัดผ่านมา เป็นสัญญาณบอกว่าให้เตรียมแพ็กกระเป๋าเดินทางไปเที่ยวสูดลมหนาวได้แล้วตามดอยหรือภูต่างๆ ในจังหวัดภาคเหนือและภาคอีสาน เพราะนอกจากจะได้สัมผัสอากาศหนาวแล้ว ยังจะได้พบกับสภาพธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา ทั้งสายหมอก สายลม ต้นไม้ ดอกไม้ รวมถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านบริเวณใกล้สถานที่แห่งนั้น เช่นการใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม อาหาร เทศกาล และประเพณี ที่ไม่เคยเห็น
วันนี้ขอชวนไป จ.เพชรบูรณ์ ในอารมณ์ของบรรยากาศต้อนรับฤดูหนาว โดยเริ่มต้นที่ “สวนสนภูกุ่มข้าว” บริเวณกิโลเมตรที่ 53 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (หล่มสัก-ชุมแพ) โดยมีทางแยกออกไป 15 กม.ก็ถึงที่หมาย
สถานที่นี้มีผู้มาเยือนแวะเวียนไปไม่ขาดสาย ลักษณะเป็นป่าสนสามใบ มีต้นสนขนาดใหญ่มีความสูงตั้งแต่ 30-40 เมตร ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติอย่างหนาแน่นแทบไม่มีไม้อื่นปะปนอยู่ เมื่อไปถึงจะพบเนินเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง เรียกว่า “ภูกุ่มข้าว” สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 880 เมตร เป็นเนินเขาที่เป็นจุดเด่นจุดหนึ่งท่ามกลางสวนสนที่มีกิจกรรมดูนก ชมทิวทัศน์-ชมพรรณไม้
เราสามารถมองเห็นแนวยอดสนเป็นแนวติดต่อกันเป็นพืดทั้งสี่ด้าน ดูแล้วจะเห็นคล้ายๆ ท้องทะเลของยอดสน เมื่อมองไปทางทิศใต้ จะเห็นอ่างน้ำเขื่อนจุฬาภรณ์ (น้ำพรม) ที่กว้างใหญ่
ขณะที่ไม้พื้นล่างประกอบด้วยทุ่งหญ้าคาหญ้าเพ็กจำนวนมากเช่นเดียวกัน ในฤดูฝนใหม่ๆ ทุ่งหญ้าเหล่านี้จะมีสีเขียว โดยมีพันธุ์ไม้หลากสีนานาพรรณขึ้นอยู่อย่างสวยงามมาก ในขณะฤดูแล้ง ทุ่งหญ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลแก่
จากนั้นเรามุ่งไปสู่อุทยานแห่งชาติเขาค้อ ที่แต่เดิมเป็นดินแดนต้องห้ามจากภัยสงครามในอดีต แต่เมื่อความสงบกลับคืนมา ก็ได้รับการพัฒนาเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่น
หน้าหนาวเทือกเขาน้อยใหญ่บนเขาค้อจะมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ทั่วไป สวยงามจนได้รับฉายาว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย”
เพราะว่า “เขาค้อ” เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเพชรบูรณ์ ประกอบไปด้วยขุนเขาน้อย-ใหญ่มากมาย และยังตั้งอยู่บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร (ยอดเขาค้อมียอดสูงสุด 1,174 เมตร) อากาศบนเขาค้อจึงเย็นสบายตลอดปี หน้าร้อนก็ไม่ร้อน หน้าฝนอากาศเย็นไปจนถึงหนาวในคืนที่ฝนตก ส่วนหน้าหนาวอากาศหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส
หากไปกับคู่รักจะได้บรรยากาศแบบโรแมนติก ได้เห็นทะเลหมอกที่ดูขาวเนียนลอยพลิ้วฟูฟ่อง ดูชุ่มฉ่ำเป็นละอองลอยเอื่อยๆ ตามสายลม โดยมีจุดชมวิวหลายจุดด้วยกัน
อาทิ บริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำรัตนัย ซึ่งอยู่ด้านล่างของถนนเส้นทางหลักสาย 2196 บริเวณใกล้ๆ กับที่ทำการอำเภอเขาค้อ ศาลาชมวิวเขาค้อ จุดบริเวณที่ตั้งของรีสอร์ตเขาค้อทะเลหมอก พรสวรรค์รีสอร์ต เขาค้อสวิส รุ่งอรุณรีสอร์ต ภูอาบหมอก ภูชิดหมอก ฟ้าใสหมอกสวยรีสอร์ต The Sense วิวทะเลหมอกเขาค้อ บ้านไร่ระเบียงหมอก แทนรักทะเลหมอก ภูผาหมอกเขาค้อ และบริเวณใกล้เคียง เช่น ศาลาชมวิวเขาค้อ ชุมสายโทรศัพท์เขาค้อ และสถานที่ราชการที่อยู่ติดๆกัน เช่น สถานีตำรวจภูธรเขาค้อ, ที่ทำการไปรษณีย์ และโรงเรียนร่มเกล้าเขาค้อ
หลังจากชมหมอกชมวิวแล้วยังสามารถไปรำลึกประวัติศาสตร์ในพื้นที่คอมมิวนิสต์ ต้องไม่พลาดที่จะไปอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ ที่โดดเด่นไปด้วยแท่งหินอ่อนรูปทรงสามเหลี่ยมที่ตั้งสูงตระหง่าน ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติการร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำรวจ ทหาร ในเขตรอยต่อ 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย โดยอนุสรณ์ฯ แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของผู้พลีชีพเหล่านั้นที่ร่วมรบกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.)
ส่วนบริเวณด้านข้างของอนุสรณ์ฯ ก็จะเป็นฐานจำลองการสู้รบ (จุดชมวิวอยู่ในบริเวณนี้) ที่เป็นเนินเตี้ยๆ มีหลุมหลบภัย มีกระสอบทรายบังเกอร์ ซึ่งในอดีตที่แห่งนี้เป็นฐานแห่งแรกที่ทหารไทยยึดคืนมาได้จากศัตรู การสู้รบกับ ผกค. ยังมีพิพิธภัณฑ์อาวุธ (ฐานอิทธิ) ตั้งอยู่บริเวณฐานอิทธิ บ้านสิมารักษ์ ต.ทุ่งเสมอ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์อาวุธ จัดแสดงปืนใหญ่ ซากรถถัง และอาวุธที่เคยใช้สู้รบบนเขาค้อ
อนุสาวรีย์จีนฮ่อ เป็นอนุสาวรีย์ทหารอาสาจากหน่วยกองพลรบ 93 ที่มาช่วยรบในเขาค้อ ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 2196 เลย กม.23 ไปเล็กน้อย
สถานที่ต่อไปพลาดไม่ได้อีกคือ “พระตำหนักเขาค้อ” เป็นพระตำหนักที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ตั้งอยู่บนเนินเขาย่า สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,100 เมตร จัดสร้างโดยบรรดาข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร และประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ภายหลังการต่อสู้ด้วยอาวุธกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์สิ้นสุดลงแล้ว จึงได้รวบรวมทุนทรัพย์ริเริ่มการก่อสร้าง “พระตำหนักเขาค้อ” ขึ้น เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และเป็นที่ทรงงาน หรือแปรพระราชฐานมาประทับแรม ในวโรกาสที่พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จฯ มาทรงตรวจเยี่ยมโครงการตามพระราชดำริในพื้นที่เขาค้อ
ภายในพระตำหนัก ประกอบด้วย อาคารเชื่อมต่อกันลักษณะรูปวงแหวน มีเรือนข้าราชบริพารเป็นส่วนเชื่อมต่อกับพระตำหนัก อาคารมีลักษณะโค้ง 2 ชั้น บริเวณด้านหน้าพระตำหนักมีสวนหย่อมและแปลงไม้ดอกมีลักษณะเป็นวงกลม ณ จุดศูนย์กลางของวงกลมเป็นที่ตั้งของเสาธงมหาราช มีความสูง 60 เมตร
บริเวณโดยรอบพระตำหนักเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสวยงามหลากหลายชนิด และแนวต้นสนป่าที่เรียงรายกันเป็นแนวยาว ลำต้นสนมีน้ำยางไหลออกมา ทำให้ลำต้นเป็นสีทองสวยงามเต็มเนินเขาย่า อากาศเย็นสบาย มีลมพัดมาตลอดเวลา อากาศบน “พระตำหนักเขาค้อ” จะเย็นตลอดทั้งปี และในฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวเย็นค่อนข้างมาก
ภายในบริเวณมีร้านค้าสวัสดิการบริการอาหารเครื่องดื่มและมีกาแฟแบบทหารให้ลองชิมด้วย นอกจากนั้นยังมีบ้านพักทหารม้าบริการให้นักท่องเที่ยวเช่าพัก จำนวน 2 เรือนแถว และมีลานกางเต็นท์บริเวณใกล้กับบ้านพัก การขึ้นไปพักแรมต้องเตรียมเครื่องนอนไปให้พร้อม เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นที่สูง ตอนกลางคืนอากาศหนาวเย็นมาก
หลังจากที่เราชมดอกไม้สวยๆ รับอากาศดีๆ บริเวณหน้า “พระตำหนักเขาค้อ” แล้ว เราก็เดินขึ้นไปพิชิต “ยอดเขาย่า” ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,305 เมตร เพื่อขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของอำเภอเขาค้อ ที่เห็นได้ในระยะไกล โดยใช้เส้นทางนักรบเขาค้อที่เดินขึ้นไปยังศูนย์ปฏิบัติการเขาย่า
สำหรับผู้ที่เดินพิชิตเขาย่าได้ จะมีใบประกาศเกียรติคุณมอบให้เป็นที่ระลึก เพราะเส้นทางเดินนั้นท้าทายเหลือเกิน อีกทั้งยังเป็นมุม 45 องศาตลอดเส้นทาง ระยะทางประมาณ 770 เมตร ด้านบน “ยอดเขาย่า” ในสมัยก่อนนั้นใช้เป็นฐานปฏิบัติการทางทหารที่ใช้ในการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
ตลอดสองเส้นทางขึ้นไปเต็มไปด้วยต้นไม้ป่านานาพันธุ์ และต้นดอกไม้ป่าสีสวยที่กำลังเบ่งบานรับแสงอาทิตย์อวดสีสันกันเต็มผืนป่า เราสามารถใช้เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติไปด้วยอีกกิจกรรมหนึ่ง ทางเดินขึ้นไปท้าทายมาก เพราะทางชันและเป็นทางขึ้นเนินอย่างเดียว คนที่ไม่แข็งแรงหรือว่าเป็นโรคหัวใจหรือว่ามีโรคประจำตัวไม่แนะนำอย่างยิ่ง
การเดินเท้าพิชิต “ยอดเขาย่า” เป็นบทพิสูจน์แห่งความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง และเมื่อเราเดินทางมาถึง “ยอดเขาย่า” เราก็สามารถชมวิวได้โดยรอบ และมองลงมายัง “พระตำหนักเขาค้อ” ด้านล่างได้ทั้งหมด อีกทั้งบน “ยอดเขาย่า” มีจุดชมทิวทัศน์เป็นศาลาชื่อ “ศาลาพระเทพ” โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเคยเสด็จฯ ขึ้นไป ณ ศาลาแห่งนี้ โดยเราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา สมกับความมุ่งมั่น ความเหนื่อยยาก และความอดทน
นี่คือสถานรับลมหนาวที่อยากแนะนำให้ไปเยือน ในขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวต่างๆ ที่มาสัมผัสที่นี้แล้ว ก็อยากให้ช่วยรักษาและร่วมกันดูแล ตามแนวทาง 7 Greens ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นความสวยงามอย่างเช่นพวกเรา.
สรณะ รายงาน
‘>
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook