“คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นสั่งสอนอยู่ในภายใน ปฏิบัติได้อยู่ในภายใน รู้ยิ่งเห็นจริงได้เองทุก ๆ คน มีเหตุตรองตามให้เห็นได้จริงทุกๆคน ปฏิบัติก็ได้ผลจริงทุก ๆ คน เพราะไม่ได้สอนในภายนอก แต่ว่าสอนในภายใน แล้วก็เป็นเหตุเป็นผลที่ ตรองตามให้เห็นได้ ปฏิบัติได้”
หากให้ “เดา” ว่าพระธรรมเทศนาด้านบนนี้เป็นของพระภิกษุรูปใด เชื่อได้ว่ามีคนไม่น้อยทีเดียวที่จะต้อง “เดา” ว่าพระภิกษุผู้เป็นเจ้าของ พระธรรมเทศนาด้านบนนี้ต้องเป็นพระสายปฎิบัติฝ่ายอรัญวาสีหรือที่เราๆ ท่านๆ มักเรียกว่า “พระป่า” หรือ “พระกรรมฐาน” ด้วยคำสอนนั้นเน้นให้พิจารณา “สิ่งที่อยู่ภายในกายตน” ซึ่งมักเป็นคำสอนของ “พระป่า”
หากแต่เมื่อทำการเฉลยแล้วอาจทำให้หลายๆท่านแปลกใจว่า พระภิกษุเจ้าของพระธรรมเทศนานี้เป็นพระที่สำเร็จด้านปริยัติธรรมสูงสุดคือเปรียญธรรม 9 ประโยค และมีสมณศักดิ์เป็นถึงสมเด็จพระราชาคณะที่ ดำรงตำแหน่ง “สังฆราชา” แห่งสังฆมลฑลไทย
ใช่แล้วครับพระธรรมเทศนาด้านบนนี้เป็นพระธรรมเทศนาของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวัฒโน)วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน
หากจะเขียนถึงสมเด็จพระญาณสังวรโดยไม่กล่าวถึงพระประวัติเกรงจะทำให้ขาดอรรถรสไปบ้างพอสมควรดังนั้นก็ขอกล่าวแต่เพียงสังเขปพอได้ใจความเพราะเกรงจะเป็นการเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระนามเดิมว่า เจริญ นามสกุล คชวัตร นามฉายาว่า สุวัฑฒโน ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ลำดับที่ ๖ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๔เป็นต้นมา
สมเด็จฯ มีชาติภูมิอยู่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุตรคนที่ ๑ ในจำนวนบุตร ๓ คน ของนายน้อย คชวัตร และนางกิมน้อย คชวัตร ชาติกาล ณ บ้านวัดเหนือ ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ เวลา ๐๔.๐๐ น. เศษ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
อายุได้ ๘ ขวบ ได้เข้าศึกษาชั้นต้น ณ โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม และโรงเรียนในสมัยนั้นก็คือ ศาลาวัดนั่นเอง จบชั้นประถม ๓ ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๖๙ มีอายุย่างเข้าปีที่ ๑๔ ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเทวสังฆาราม มีพระครูอดุลสมณกิจ (ดี พุทธโชติ) เป็นพระอุปัชฌาย์
เมื่อออกพรรษาแล้วได้ไปเรียนบาลีไวยากรณ์ที่วัดเสนหา จังหวัดนครปฐม ในพรรษานั้น เพื่อกลับมาสอนที่วัดเทวสังฆาราม ในพรรษาต่อมาคือ พ.ศ. ๒๔๗๒ พระครูอดุลสมณกิจได้พาสมเด็จฯ มาถวายตัวต่อเจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (พระยศในขณะนั้นของ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) เพื่ออยู่ศึกษาต่อ ณ.วัดบวรนิเวศวิหาร เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ประทานนามฉายา ว่า “สุวัฑฒโน”
พ.ศ. ๒๔๗๒ อายุ ๑๗ ปี สอบได้นักธรรมชั้นตรี เมื่อถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็สอบได้นักธรรมชั้นเอก และเปรียญ ๔ ประโยค
พ.ศ. ๒๔๗๖ สมเด็จฯ มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จึงได้กลับไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเทวสังฆาราม พระครูอุดมสมณกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทแล้วอยู่จำพรรษาช่วยสอนปริยัติธรรม ณ วัดเทวสังฆาราม ๑ พรรษา ออกพรรษาแล้วจึงกลับมาวัดบวรนิเวศวิหาร อุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุตอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖ เจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (พระสมณศักดิ์ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ในขณะนั้น) ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ แม้จะกลับมาอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร ก็ยังคงไปมาช่วยสอนพระปริยัติธรรมที่วัดเทวสังฆารามอยู่อีก ๒ ปี
พ.ศ. ๒๔๗๖ อายุ ๒๑ ปี สอบได้เปรียญ ๕ ประโยค จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๘๔ อายุ ๒๙ ปี ก็สอบได้เปรียญ ๙ ประโยค
ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๗-๘ สมเด็จฯ ได้ศึกษาภาษาอังกฤษและภาษาสันสกฤต เป็นพื้นฐานได้ศึกษาด้วยตนเองในเวลาต่อมา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ สมเด็จฯ ทรงนำมาใช้ประโยชน์เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ สมเด็จฯ ยังได้ศึกษาภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสด้วย โดยใช้เวลาว่างในตอนเย็นหรือกลางคืน ศึกษากับครูคฤหัสถ์ที่มาสอนเป็นการส่วนตัว แต่เนื่องจากไม่มีเวลาศึกษาอย่างติดต่อ ภายหลังจึงได้เลิกร้างไปเมื่อสอบได้เปรียญชั้นสูงแล้ว สมเด็จฯ ก็เริ่มรับภาระหน้าที่ต่างๆ ทั้งวัดบวรนิเวศวิหาร ของคณะสงฆ์ และขององค์กรต่างๆ ทางพระพุทธศาสนามาโดยตลอด
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๔ จนถึงปัจจุบัน สมเด็จฯ ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ที่สำคัญดังต่อไปนี้
พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญที่
พระโสภณคณาภรณ์
พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราชในราชทินนามเดิม
พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นเทพในราชทินนามเดิม
พ.ศ. ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เสด็จออกทรงผนวช เสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างวันที่ ๒๒ ตุลาคม ถึง ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระราชอุปัธยาจารย์ ทรงเลือกสมเด็จฯ เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในระหว่างที่ทรงผนวช และก็ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์รักษาการพระวินัยธรชั้นฎีกา ในศกนี้
พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร สืบต่อจากพระพรหมมุนี
(ผิน สุวโจ)
พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร
พ.ศ. ๒๕๓๒ วันศุกร์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๒ ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
มีประกาศพระนามตามพระสุพรรณบัตรว่า
“สมเด็จพระญาณสังวรบรมนริศรธรรมนีติภิบาล อริยวงศาคตญาณวิมลสกลมหาสังฆปริณายก ตรีปิฎกปริยัตติธาดา วิสุทธจริยาธิสมบัติ สุวัฑฒนภิธานสงฆวิสุต ปาวจนุตตมพิสาร สุขุมธรรมวิธานธำรง วชิรญาณวงศวิวัฒ พุทธบริษัท คารวสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ วิบุลสีลาจารวัตรสุนทร บวรธรรมบพิตร สรรพคณิศรมหาปธานาธิบดี คามวาสีอรัณยวาสี สมเด็จพระสังฆราช”
หากบทความนี้จะจบลงแค่เพียงพระประวัติของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯก็เกรงว่าจะไม่ได้อรรถรสและคงไม่ทำให้การนำเสนอ ใน“Blog Dhammayos” นี้ต่างจากการนำเสนอจากแหล่งอื่นในโลกไร้พรมแดนนี้ คงเหมือนกับการรับประทานปลากระป๋องที่ต่างกันเพียงแค่ “ฉลาก”แต่รสชาติก็เหมือนๆกันซ้ำซากจำเจ …
แต่งานเขียนนี้ก็ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีที่ใดเหมือน…
ในตอนต้นที่นำเสนอพระธรรมเทศนานั้นจะไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยหากมีใครสักคนเดาว่าเป็น “คำสอน” จากพระธุดงค์กรรมฐานที่เลิศยิ่งด้านวิปัสนาธุระ ด้วยว่าสมเด็จพระญาณสังวรนี้ถึงแม้ว่าท่านจะทรงภูมิศึกษาพระปริยัติธรรมจนถึงขึ้นสูงสุดคือเปรียญธรรม 9 ประโยคแล้ว ท่านก็มิได้ทรงละเลยด้านการปฏิบัติธรรมเลย ดังจะเห็นได้อยู่เสมอเมื่อครั้งที่สังขารขันธ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯท่านยังแข็งอยู่โดยจะทรงหาโอกาสไปศึกษาด้านจิตตภาวนากับพระวิปัสนาจารย์ฝ่ายอรัญวาสีอยู่เป็นประจำทั้งที่มีอายุพรรษามากกว่าเช่น หลวงปู่แหวน สุิจิณโณวัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี (จ.หนองบัวลำภูในปัจจุบัน) หลวงปู่เทศน์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร และวัดถ้ำขาม จ.สกลนคร โดยจะเสด็จไปประทับอยู่เป็นเวลาหลายวันเพื่อสนทนาธรรมและปฏิบัติภาวนาส่วนพระองค์หรือหากเป็นพระผู้มีอายุกาลพรรษาใกล้เคียงกัน หรือแม้แต่น้อยกว่า หากแต่เป็นผ้มีความชำนาญด้านปฏิบัติภาวนาแล้วพระองค์ก็เสด็จไปศึกษาด้วยเช่นกัน อาทิ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้าตาด จ.อุดรธานี พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงค์ธรรม จ.สกลนคร พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดภูทอก จ.หนองคาย พระอาจารย์เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูิริทัตตปฏิปทาราม จ.ปทุมธานีเป็นต้น
หรือหากพระเถรานุเถระทั้งหลายนี้มีกิจนิมนต์มาที่กรุงเทพก็จะเข้าำพำนักที่ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งมีองค์สมเด็จพระญาณสังวรเป็นเจ้าอาวาสทุกคราวไปตัวอย่างเช่นพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโนเมื่อครั้งที่ยังไม่ได้มีการสร้าง “สวนแสงธรรม” ที่พุทธมณฑล สาย 3 เมื่อมีกิจที่จะต้องมาำพำนักในกรุงเทพฯ ท่านก็จะมาพำนักที่ วัดบวรนิเวศวิหารเสมอเป็นเหตุให้ท่านมีความคุ้นเคยกับสมเด็จพระญาณสังวรเป็นอย่างดี เนื่องจากมีอายุเท่ากันและพรรษาที่ใกล้เคียงกัน …
เรื่องข้อวัตรปฏิบัตินี้เจ้าพระคุณสมเ็ด็จฯท่านก็ถือปฏิบัติเคร่งครัดยิ่งนัก จะมีน้อยคนที่รู้ว่าท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯถือธุดงควัตรอยู่ข้อหนึ่งคือ ทรงเสวยมื้อเดียวมาตลอดเว้นแต่ทรงพระปชวร ดังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯว่าในคราวหนึ่งเมื่อครั้งที่ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระญาณสังวรมีพระชนมายุ 60 พรรษาเศษแล้ว ได้เสด็จไปประทับที่วัดถ้ำขาม เพื่อศึกษา และปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดนี้ตั้งอยู่บนยอดเขา เวลาบิณฑบาต ต้องเดินลงมาที่ศาลารับบิณฑบาตซึ่งอยู่ข้าล่าง ทางเดินเป็นหินที่ค่อนข้างชัน และลำบาก พระเณรจึงกราบทูลพระองค์ว่าไม่ต้องเสด็จลงไปรับบิณฑบาตข้างล่าง เพราะพระเณรจะรับบิณฑบาตมาถวายเอง แต่พระองค์ไม่ทรงยินยอม จึงเสด็จลงเขาไปรับบิณฑบาตจากชาวบ้านร่วมกับพระเณรด้วยพระองค์เองทุกวัน หรือแม้แต่การเสวยก็ทรงเสวยมื้อเดียว และเสวยในบาตรเฉกเช่นวัตรที่ “พระป่า” ถือปฏิบัติมาเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นหตุให้พระเถระฝ่ายอรัญญวาสีเหล่านั้นจึงมักเอ่ยชื่นชมแลยกย่องถึงพระองค์อยู่เสมอเช่นหลวงปู่แหวน สุจิณโณ และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่แม้ท่านจะเป็นพระวิปัสสนาจารย์ซึ่งไม่ใคร่ที่จะให้คนยึดติดกับวัตถุมงคลนัก หากแต่ก็อนุโลมหากเป็นไปเพื่อการก่อสร้างถาวรวัตถุัและสาธารณกุศล นั่นเป็นเหตุให้เหล่าผู้นิยมพระปฏิบัติดี แลพระขลังต่างมุ่งหน้าบุกป่าฝ่าดงไปนมัสการท่านถึง
อารามที่ำำพำนัก…
แต่แล้วพระเถระผู้เฒ่านั้นกลับแนะนำชาวกรุงเทพฯที่อุตสาห์ดั้นด้นมาเป็นร้อยๆ กิโลเมตรว่า ไม่จำเป็นต้องมากราบท่านถึงที่วัดก็ได้ เพราะหนทางไกล และลำบาก หากอยากกราบพระดี ให้ไปกราบสมเด็จฯวัดบวรก็ได้…
หากกล่าวถึงสมณศักดิ์ของพระเถรานุเถระแล้วบางสมณศักดิ์ก็เป็นสมณศักดิ์ที่สืบทอดกันมาหากองค์หนึ่งถึงแก่มรณภาพแล้วสมณศักดิ์นั้นก็จะได้รับพระราชทานให้แก่พระเถระที่เหมาะสมต่อไปเช่น สมณศักดิ์ที่ “พระภาวนาพิศาลเถร” ซึ่งเป็นสมณศักดิ์ของพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ ซึ่งมีพระเถระที่เคยได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้คือ พระภาวนาพิศาลเถร (หนู ฐิตปัญโญ) หรือ พระภาวพิศาลเถร (พุธ ฐานิโย) เป็นต้น
แต่ในบางคราวได้มีการตั้งสมณศักดิ์ใหม่เป็นพระกรณีพิเศษเพื่อพระราชทานอย่างจำเพาะเจาะจงให้กับพระภิกษุบางรูปซึ่งสมณศักดิ์นั้นจะมีความหมายแสดงนัยถึงคุณลักษณะของพระรูปนั้นโดยเฉพาะเช่น พระญาณวิทยาคม (สมณศักดิ์พระราชาคณะชั้น “สามัญ” ) ,พระราชวิทยาคม (สมณศักดิ์พระราชาคณะชั้น “ราช” ) ,พระเทพวิทยาคม (สมณศักดิ์พระราชาคณะชั้น “เทพ” ) สมณศักดิ์เหล่านี้มีความหมายแสดงโดยนัยว่าพระเถระที่ได้รับสมณศักดิ์นี้ย่อมมี “ความเด่น” ทางด้านวิทยาคมอย่างยิ่ง ซึ่งพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้คือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา นั่นเอง…
และหากพิจารณาถึงสมณศักดิ์สมเด็จพระราชาคณะที่ “สมเด็จพระญาณสังวร” นั้นเป็นตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ ซึ่งตามพระนามหมายถึงผู้ที่ความสำรวมในความรู้อย่างยิ่ง (“ญาณ” หมายถึง ความรู้ และ “สังวร” หมายถึง สำรวม) หรือหากอ้างถึงพระอรรถกถาความหมายของ “ญาณสังวร” จะเป็นหัวข้อหนึ่งในสังวรวินัย 5 คือ สีลสังวร สติสังวร ญาณสังวร ขันติสังวร และวิริยสังวร.
และดังได้มีอรรถาธิบายความหมายของ “ญาณสังวร” ว่า
สังวรที่ตรัสไว้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดูก่อนอชิตะ
กระแส(ตัณหา)เหล่าใดในโลกมีอยู่
สติย่อมเป็นเครื่องห้ามกระแสเหล่านั้น
เราตถาคตกล่าวสติว่าเป็นเครื่องระวังกระแสทั้งหลาย
กระแสเหล่านั้นอันบุคคลย่อมละด้วยปัญญานี้เรียกว่าญาณสังวร.
สมณศักดิ์ที่ ”สมเด็จพระญาณสังวร” นี้ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชพระราชทานแก่พระอาจารย์สุก วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) พระเถระที่เลื่องลือด้านวิปัสนาธุระและเปี่ยมด้วยเมตตายิ่ง ถึงขนาดมีตำนานเล่าว่าสามารถแผ่เมตตาให้ไก่ป่าที่ได้ชื่อว่าปราดเปรียวและระแวงภัยยิ่ง ให้เชื่องเหมือนไก่บ้านได้ ครั้นสมเด็จพระญาณสังวร(สุก) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ชาวประชาทั้งหลายจึงมักพากันขนานนามท่านว่า “สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน” นับตั้งแต่เมื่อครั้งสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ก็มิได้มีพระเถระรูปใดได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ “สมเด็จพระญาณสังวร” อีกเลยเป็นเวลานานถึง 152 ปี ( พ.ศ. 2463 ถึง 2515) จนได้มีการพระราชทานสมณศักดิ์นี้แด่ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯเป็นที่สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฒโณ) เมื่อปี พ.ศ.2515
นอกจากนี้หากนับความพิเศษในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯท่านก็มีความพิเศษอยู่อีกข้อหนึ่งซึ่งสมควรบันทึกไว้คือเมื่อพระองค์ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้ใช้พระนาม “สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก” เป็นกรณีพิเศษ เช่นเดียวกับสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นราชวงศ์ เนื่องจากตามปกติ สมเด็จพระสังฆราชที่มิใช่พระราชวงศ์จะออกพระนามว่า “สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก” แล้ววงเล็บพระนามตามหลังเหมือนกันหมดทุกประองค์ เช่น สมเด็จพระอริวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (อยู่ ญาโณทัย) วัดสระเกศ เป็นต้้น
นอกจากนี้ในคราวที่สมเด็จพระญาณสังวรได้รับโปรดเกล้าฯเป็นสมเด็จพระสังฆราชได้มีรับสั่งให้จัดทำพัดยศสมณศักดิ์สมเด็จพระสังฆราชขึ้นใหม่ เพื่อถวายเป็นกรณีพิเศษ โดยมีตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์อยู่ตรงกลางพัดยศสมณศักดิ์นั้น และในปี พ.ศ.2536 ในคราวที่ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา ยังได้รับพระราชทานพัดแฉกงาพิเศษประดับพลอย เหล่านี้นับว่าพระองค์ได้รับการถวายพระเกียรติยศ ที่สมเด็จพระสังฆราชที่มิใช่พระราชวงศ์จะพึงได้รับ อย่างสูงที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทีเดียว…
ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=391562
ปฏิปทาอันควรค่าแก่การเป็นแบบอย่าง สำหรับพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั่วไป พระปฏิปทาอันเป็นแบบ
อย่างดังกล่าวก็คือ
——————————————————————————
“ท่านไม่ได้ใช้วาจาเลยนะ ไม่พูดเลย มีแต่เราพูดเล็กน้อย พอให้ท่านทราบเท่านั้น
แล้วก็ไม่อยู่นาน เวลาสำคัญๆ ท่านคุยธรรมะเรื่องภายในสำคัญๆ อยู่มาก
เฉพาะสองต่อสอง เรื่องสำคัญท่านจะถามคุยกันธรรมดาว่าท่านพูดน้อยท่านก็ไม่ได้พูดน้อย
เวลาคุยกันเฉพาะสองต่อสองคุยกันธรรมดาเลยนะ เวลาออกสังคมท่านพูดน้อยมาก
เวลาคุยกันสองต่องสองนี้คุยกันธรรมดาเลย มีอะไรท่านก็รับสั่งถามมา เราก็ตอบไปๆ
ท่านถามข้ออรรถข้อธรรมข้อใด พูดกันธรรมดา แต่เวลาสิ่งสำคัญๆ ท่านมักจะถามเฉพาะสองต่อสอง
อยู่วัดบวรฯ ก็ดี อยู่วัดป่าบ้านตาดก็ดี ก็เราสนิทกับท่านมานานเท่าไหร่แล้ว อยู่วัดบวรฯ มาด้วยกัน
ท่านเคยไปเป็นพระภาวนาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดหลายครั้ง ครั้งละเป็นอาทิตย์”
——————————————————————————————————
• สัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก •
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=40263
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
เข้ากราบสักการะเยี่ยมอาการพระประชวร
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อวันอังคารที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ เวลา ๑๐.๑๙ น.
ณ ตึกวชิรญาณ-สามัคคีพยาบาร ชั้น ๖ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
บันทึกภาพร่วมกันเมื่อวันที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๐๘
นับแต่ทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มักเสด็จไปปฏิบัติพระกรรมฐาน
ณ สำนักวัดป่าในภาคอีสานช่วงปลายปีเสมอ
ในภาพถ่าย ณ วัดถ้ำกลองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
ทรงฉันจังหันร่วมกับพระเถระฝ่ายวิปัสสนาธุระ
ได้แก่ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน, พระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ,
พระอาจารย์วัน อุตฺตโม และพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ
เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์
ทรงกราบนมัสการและสนทนาธรรมกับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๕
โดยมี หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ ร่วมรับเสด็จฯ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร
และ “พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)”
ในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ณ วัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร
ทรงฉันจังหันร่วมกันกับ “หลวงปู่สาม อกิญฺจโน”
และ “พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)”
ในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
ณ วัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม แห่งวัดป่าโคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
ได้เดินทางมาเป็นองค์ประธานในพิธีเททองหล่อพระพุทธรูป
ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร โดยมาพักอยู่ที่ศาลา ๑๕๐ ปี
เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทรงทราบ จึงได้เสด็จมาทรงกราบนมัสการ
ด้วยความอ่อนน้อม และสนทนาธรรมด้วย
ครั้นถึงเวลาอันควร ทรงกราบนมัสการลาหลวงปู่ชอบ
พระอุปัฏฐากหลวงปู่ชอบได้ถือย่ามของพระองค์เดินตามหลังมา
เพื่อไปส่งเสด็จที่พระตำหนักที่ประทับ
เจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ทรงตรัสด้วยเสียงอ่อนโยนว่า
ให้โยมของพระองค์ถือไปส่งเถิด
แล้วขอให้พระรูปนั้นกลับไปดูแลหลวงปู่ชอบดีกว่า
เหตุการณ์ในคราวนั้นทำให้พระอุปัฏฐากหลวงปู่ชอบ
รู้สึกประทับใจในความไม่ถือพระองค์เป็นอย่างยิ่ง
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ได้เสด็จมาทรงกราบนมัสการ
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
เมื่อวันพุธที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๓
ณ วัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร
เข้ากราบนมัสการและสรงน้ำ “พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)”
เนื่องในวาระอายุครบ ๙๐ ปี เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑
ณ วัดบูรพาราม (พระอารามหลวง) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เสด็จเยี่ยมวัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) ถวายเครื่องสักการะ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร
เดินทางมาเยี่ยมอาการอาพาธของ “หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต”
ณ วัดอุดมคงคาคีรีเขต ต.บ้านโคก อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๒
“หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร” ได้กราบอาราธนา
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร
มาประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเศียรพระประธาน
ณ มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ
ในภาพยังมี “พระอาจารย์สาคร ธมฺมาวุโธ” เข้าร่วมในพิธีด้วย
“พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)” กำลังนำทาง
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ
ไปยังวัดถ้ำแสงเพชร ต.หนองมะแซว อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร
และพระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ) วัดบ้านไร่
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ในวาระโอกาสที่เสด็จมาเยือนสวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี
ท่านพุทธทาสภิกขุขอโอกาสกราบเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เนื่องจากท่านพุทธทาสภิกขุมีอายุพรรษาเเก่กว่า
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงห้ามไว้ เเต่ท่านพุทธทาสภิกขุก็ไม่ยอม เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงได้กราบท่านพุทธทาสภิกขุกลับ
—————————————
คำถามที่ ๓๔ : เมื่อคราวที่พระอาจารย์พุทธทาสอาพาธหนักนั้น ฝ่าพระบาทได้เคยไปเยี่ยมท่านอาจารย์พุทธทาสที่ได้
ขอละสังขาร โดยท่านอาจารย์ให้เหตุผลว่า อายุเกินพระพุทธเจ้ามาแล้ว แต่ฝ่าพระบาทได้ขอไว้ หลังจากนั้นอาการของ
ท่านพุทธทาสก็ฟื้นขึ้นมา และมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกหลายปี ขอกราบทูลฝ่าพระบาทเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น
คำตอบ : เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๒ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายกเสด็จเยี่ยมภิกษุสามเณรและประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๕ จังหวัด คือ สงขลา สตูล ปัตตานี
นราธิวาส และยะลา ตามคำกราบทูลอาราธนาของศูนย์อำนวยการการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
พระดร.อนิลมาน ธมฺมสากิโย หนึ่งในคณะผู้ติดตามเล่าว่า ตอนที่เสด็จไปเยี่ยมนั้น ท่านพุทธทาสยังไม่ได้อาพาธหนัก
ยังไม่ได้ล้มหมอนนอนเสื่อ เป็นแต่เพียงเจ็บออดแอด ยังออกมารับเสด็จได้เป็นชั่วโมง ท่านพาไปดูโรงมหรสพทางวิญญา
ณ ลานหินโค้ง แล้วก็นำมาเสด็จประทับที่ม้าหินหน้ากุฏิ ที่ปกติเก้าอี้ม้าหินนั้นท่านอาจารย์พุทธทาสนั่งประจำ
ท่านอาจารย์พุทธทาสทูลสมเด็จพระสังฆราชให้ประทับแล้วท่านก็ไม่ยอมนั่ง ท่านพุทธทาสทูลว่า
“ขอประทานกราบสมเด็จพระสังฆราชหน่อยที่อุตส่าห์เสด็จมาเยี่ยมถึงวัด”
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงพยายามห้าม ท่านก็ไม่ยอม แล้วต่างคนก็ต่างกราบ
พอท่านพุทธทาสกราบ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็บอกไม่ได้ๆ ต้องกราบกลับ
ส่วนคำถามที่ว่านั้น ตอบได้ว่า เหมือนกับเวลาไปเยี่ยมคนที่รู้จักกันแล้วระหว่างคุยก็ปรารภเรื่องสังขารว่า
ไม่ไหวแล้ว แล้วเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็รับสั่งว่า ขออาราธนาใต้เท้าอยู่ก่อนอย่าเพิ่งไป แต่ว่าคนก็ชอบอธิบาย
ในเชิงอภินิหารไปสักหน่อย
ในวันนั้นมีการคุยเรื่องหนังสือและวิธีสอนของท่านพุทธทาส มีการคุยเรื่องธรรมะลึกๆ หลายเรื่อง เช่น เรื่อง
หนังสือมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเจ้าพระคุณสมเด็จฯ รับสั่งว่าเป็นหนังสือที่ดีมาก และทรงใช้บ่อย
หนังสือ ๙๙ คำถามเกี่ยวกับสมเด็จพระสังฆราช
http://www.watbowon.com/
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ทรงถวายการต้อนรับท่านอาจารย์โกเอ็นก้า (S.N. Goenka)
วิปัสสนาจารย์ชื่อดังของโลกชาวอินเดีย และภรรยา
ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
——————————————————————————————————–
———————————————————————————
ขอขอบพระคุณ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=43517 เป็นอย่างสูง’>
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook