“ขึ้นชื่อว่าถ้ามีอุดมการณ์แรงกล้า ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ยังสู้ และนี่ก็คือปณิธานของชาวชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่ประธานค่ายอาสาพัฒนาชนบท รุ่นที่ 47 กล่าวขึ้นในขณะที่กำลังช่วยพัฒนาโรงเรียนกกกะบก อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ท่ามกลางฝนเท ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แต่งานจิตอาสายังคงดำเนินต่อไป
“อรรณพ จรัสภิญโญ” นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ ตำแหน่งประธานค่ายอาสาพัฒนาชนบท กล่าวว่า ได้ลงสำรวจพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ แล้วได้คัดเลือกแรงงานอาสาที่มีสุขภาพแข็งแรงกว่า 40 คนไปสร้างโรงอาหารให้น้องๆ ในชนบท โดยเขาและเพื่อนๆ ได้ใช้เวลาทั้งหมด 30 วันภายในค่าย แล้วแบ่งงานออกเป็น 9 ฝ่าย มีทั้งฝ่ายอาชีวะ โครงงาน สวัสดิการ ศึกษา สันทนาการ อาชีพ สาธารณสุข เพื่อบริหารให้ปลายทางเสร็จทันเวลา
“เราผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ทุกคนไม่เว้นชายหญิงเพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้ในงานทุกด้าน โดยถ้าพูดถึงอุปสรรคทุกๆ ค่ายก็จะมีปัญหาต่างกัน เช่น ไม่มีไฟฟ้าบ้าง ไม่มีน้ำบ้าง มีน้ำป่าไหลหลากบ้าง หรือบางทีน้ำประปาเป็นดินโคลนบ้าง แต่ค่ายนี้ที่หนักสุดคือสภาพอากาศฝนตกหนักและมีฟ้าผ่าเวลาฝนตก ทางฝ่ายก่อสร้างเราจึงต้องหยุดงานทันทีเพื่อความปลอดภัย พอแดดออกก็จะลุยงานกันต่อ เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา จึงทำให้งานหนักตกเป็นของฝ่ายสันทนาการไปโดยปริยาย เพราะขณะที่รอให้ฝนหยุดเราก็ต้องพยายามทำให้ทุกคนครื้นเครงเพื่อมีพลังสู้ต่อ”
ด้าน อธิวัฒน์ ไยชานัน หรือบ๊อบบี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ ประธานฝ่ายสันทนาการ บอกว่า กิจกรรมสันทนาการมีส่วนช่วยสร้างบรรยากาศในค่ายอย่างมาก ทำให้เกิดรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และมีพลังใจทำงาน แต่กิจกรรมก็จะต้องสอดแทรกข้อคิด การพัฒนาการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมไปในตัวด้วย จึงจะเรียกว่าสันทนาการค่ายของแท้ “เราจะเห็นได้ว่าค่ายที่เราทำในแต่ละปีจะมีรุ่นพี่มาเยี่ยมเยือน คนที่มาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คิดถึงบรรยากาศค่าย แม้ไม่ได้ช่วยสร้างอาคารอะไร แต่สิ่งที่เป็นสังคมของคนค่ายจะทำให้เกิดความผูกพันและบ่มเพาะให้เกิดอุดมการณ์เดียวกัน เหมือนได้เรียนรู้ที่จะอยู่แบบพอเพียงไปพร้อมกัน ขณะที่ยังมีเสียงเพลง เสียงหัวเราะช่วยทำให้ไม่รู้สึกว่าลำบากแต่อย่างใด และก็ซึมซับกลายเป็นจิตสำนึกที่ทำให้รู้จักการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เท่าที่มี แถมยังตัดขาดจากโซเชียลเน็ตเวิร์ค ใช้โทรศัพท์เท่าที่จำเป็น
ส่วนด้าน ชัยมงคล อ่อนสำอางค์ หรือโอม นักศึกษาปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ สมาชิกค่ายฝ่ายชุมชนก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การออกค่ายเป็นกิจกรรมที่สนุกกว่าที่คิด แม้จะลำบากแต่ก็ลืมความลำบาก มิหนำซ้ำอยากจะกลับไปลำบากอีกครั้งเพราะคิดถึงบรรยากาศค่าย
“ตลอดเวลาจะรู้สึกว่ามีอะไรทำไม่เบื่อ ไม่เหงา สนุก แต่พอกลับมาก็จะคิดถึงเพื่อน คิดถึงการได้ไปสัมผัสชีวิตอีกรูปแบบ หรืออีกชุมชนหนึ่ง ที่ทำให้เรามองเห็นความต่างทางโอกาส และก็ทำให้เรารู้จักคุณค่าในตัวเองเมื่อได้เห็นคนด้อยโอกาสแล้วก็ทำให้เราอยากกลับมาตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้สมกับโอกาสที่มี เมื่อได้เห็นน้องๆ ที่อยากเรียนหนังสือแต่บางทีไม่มีโอกาสได้เรียน ไม่มีอุปกรณ์ดีๆ หรือแม้กระทั่งบางทีไม่มีไฟ ฉะนั้น เราก็ควรจะใช้โอกาสที่มีอย่างคุ้มค่า ซึ่งความคิดแบบนี้ถ้าไม่ได้ออกค่ายเราก็คงไม่ได้นึกถึงครับ” สมาชิกค่ายอาสาปิดท้าย
วันที่ 25/07/2557 เวลา 8:10 น
‘>
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook